ทำไมผลไม้ญี่ปุ่นถึงแพง?
ความเอาใจใส่ของชาวสวน
ผู้ปลูกผลไม้ชาวท้องถิ่นหลายคนมักจะรักจังหวัดของตน จึงอยากจะปลูกผลไม้ดีๆ ให้เป็นชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้กับบ้านเกิด พวกเขาจะทุ่มเททรัพยากรและพื้นที่ทั้งหมดที่มีเพื่อปลูกผลไม้เพียงชนิดเดียวและดูแลเอาใจใส่ราวกับเป็นลูกแท้ๆ ของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผลไม้เหล่านี้จะมีราคาสูงลิบลิ่ว เพราะนั่นก็เปรียบเสมือนรางวัลตอบแทนในความทุ่มเทของพวกเขานี่เอง
ข้อจำกัดด้านฤดูกาล
ผลไม้บางชนิดเป็นผลไม้ตามฤดูกาล อย่างแตงโมและเมล่อนชนิดต่างๆ เป็นผลไม้ประจำฤดูร้อน ในขณะที่สตรอว์เบอร์รี่และแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ฤดูหนาว เนื่องจากผลไม้เหล่านี้ไม่สามารถออกผลให้ทานได้ตลอดปี จึงทำให้ราคาอาจพุ่งขึ้นสูงตามความต้องการของผู้บริโภคได้ เพราะคนรักผลไม้เหล่านี้จะหยิบมันลงตะกร้าทันทีที่เห็นวางอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ
ความเชื่อมโยงต่อความไฮโซ
ในญี่ปุ่นผลไม้ถือเป็นของขวัญระดับไฮคลาสที่มักจะใช้แสดงคำขอบคุณแก่บรรดาเครือญาติหรือผู้ร่วมธุรกิจ ชาวสวนญี่ปุ่นจึงมักปลูกผลไม้ดีๆ เพื่อทำกำไรจากวัฒนธรรมนี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆ อยู่ในซีรีส์การแพทย์สุดฮิตของญี่ปุ่นที่ชื่อ Doctor X ตัวเอกในเรื่องนี้เป็นศัลยแพทย์ฟรีแลนซ์ที่ไม่เคยล้มเหลวในการผ่าตัดเลยสักครั้งแม้จะเป็นการผ่าตัดที่ยากมากก็ตาม และผู้จัดการของเธอก็จะส่งเมล่อนหน้าตาน่ารับประทานไปให้ผู้จัดการของโรงพยาบาลพร้อมกับใบเรียกเก็บเงินทุกๆ ครั้งหลังการผ่าตัด
ผลไม้พรีเมี่ยม 3 ชนิดของญี่ปุ่นที่ไม่ควรพลาด
1. เมล่อนญี่ปุ่น
แตงโมในญี่ปุ่นมีหลายขนาดหลายรูปร่างซึ่งบ่งบอกถึงความเฉลียวฉลาดและความช่างคิดของชาวสวนญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจน หากคุณเคยเห็นแตงโมทรงสี่เหลี่ยมตามโซเชียล นั่นคือแตงโมเซนสึจิ (Zentsuji) ที่ปลูกในเมืองเซนสึจิของจังหวัดคากาวะ แตงโมทรงเหลี่ยมที่ดูสวยงามเหล่านี้อาจมีราคาสูงถึงลูกละ 10,000 เยนเลยก็ได้นะ!
นอกจากแบบเหลี่ยมก็มีแตงโมรูปหัวใจด้วยเช่นกัน เป็นของขวัญที่ทั้งแปลกและน่ารักมาก หากคุณต้องการบอกรักใครสักคน รับรองว่าคนพิเศษของคุณจะต้องประทับใจจนแทบจะหยุดหายใจแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันเงินในกระเป๋าของคุณก็จะลดฮวบจนคุณแทบจะหยุดหายใจเหมือนกัน! หากคุณพร้อมจะซื้อก็เตรียมงบไว้ประมาณ 20,000 เยนสำหรับแตงโมหัวใจขนาดจิ๋ว หรือหากใจป้ำหน่อยก็เตรียมไว้สัก 35,000 เยนสำหรับแตงโมหัวใจขนาดใหญ่ได้เลย
อีกหนึ่งผลไม้ตระกูลเมล่อนที่โด่งดัง คือ ยูบาริเมล่อน (Yubari) ที่เดินทางมาจากเมืองยูบาริในฮอกไกโด เป็นหนึ่งในผลไม้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีรสหวานที่สุดในญี่ปุ่น เมล่อนเนื้อชุ่มฉ่ำน้ำจะกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของคุณด้วยสีส้มสวยน่ารับประทาน รสสัมผัสที่ราวกับละลายในปาก และกลิ่นอันหอมหวาน เป็นเมล่อนที่คุณภาพสูงมากจนทางการญี่ปุ่นถึงกับมอบสถานะพิเศษที่เป็นเครื่องบ่งบอกทางภูมิศาสตร์ให้ ซึ่งหมายความว่า หากมีใครใช้ชื่อแบรนด์ยูบาริเมล่อนโดยไม่ได้รับอนุญาตก็อาจจะต้องรับโทษสถานหนักเลยทีเดียว
ราคาแพงแสนแพงของยูบาริเมล่อนก็ขึ้นชื่อไม่แพ้กัน ตัวอย่างเช่นในปี 2019 มีการประมูลขายยูบาริเมล่อน 2 ผลในฮอกไกโดด้วยราคา 5 ล้านเยน!
2. องุ่นมัสคัทและรูบี้โรมัน
องุ่น สวรรค์แห่งความหวานที่ระเบิดได้ในปาก แต่ละพื้นที่ในญี่ปุ่นมีองุ่นที่โด่งดังต่างกันไป อย่างในดินแดนแห่งแสงตะวันอย่างจังหวัดโอคายาม่าซึ่งมีพื้นที่รับแดดเยอะ ทำให้ปลูกองุ่นสายพันธุ์ไชน์มัสคัท (Shine Muscat) ได้ดี
นอกจากรูปร่างภายนอกจะดูสวยเหมือนหยกที่ไร้ตำหนิแล้ว รสชาติก็ยังดีมากอีกด้วย เปลือกก็สามารถรับประทานได้ แถมยังเป็นองุ่นไร้เมล็ด คุณสามารถโยนเข้าปากและดื่มด่ำไปกับความหวานราวกับลูกกวาดได้อย่างเต็มที่! องุ่นชนิดนี้อาจมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 10,000 เยนเลยทีเดียว
หากคุณทนความยั่วยวนขององุ่นไม่ได้และพร้อมจะจ่ายสูงขึ้นไปอีกเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด ก็ไม่ควรพลาดองุ่นรูบี้โรมัน (Ruby Roman) ที่สามารถปลูกได้ในจังหวัดอิชิคาว่าเท่านั้น องุ่นชนิดนี้เป็นที่ต้องการของตลาดมากและเป็นองุ่นที่มีราคาแพงที่สุดในโลกด้วยราคาที่สูงถึง 2,500 เยนต่อลูก! แม้แต่รูบี้โรมันสายพันธุ์เล็กๆ ก็ยังมีราคาอยู่ที่ประมาณลูกละ 500 เยนแล้ว แต่เนื่องจากรูบี้โรมันอิชิคาว่ามีขนาดใหญ่เท่าลูกปิงปองและมีปริมาณน้ำตาลสูงถึง 18% จึงเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าสมราคาชนิดที่หาทานที่อื่นได้ยากทีเดียว
3. สตรอว์เบอร์รี่ญี่ปุ่น
นอกจากเมล่อนและองุ่น อีกหนึ่งผลไม้ที่ครองใจผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นก็คือ สตรอว์เบอร์รี่ เนื่องจากแบรนด์ต่างๆ มักจะคิดค้นและเพาะสายพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้นมา การลองชิมสตรอว์เบอร์รี่หลายๆ ชนิดจึงเป็นประสบการณ์ที่สนุกมาก หากคุณชอบทานลูกใหญ่ๆ เราขอแนะนำอามาโอสตรอว์เบอร์รี่ (Amaou Strawberry) ที่ปลูกในฟุกุโอกะ และวางขายในราคาประมาณกิโลกรัมละ 1,000 เยน สายพันธุ์นี้มีเนื้อชุ่มฉ่ำน้ำ ทานแล้วสดชื่น ทั้งยังมีขนาดใหญ่เป็น 4 – 5 เท่าของสตรอว์เบอร์รี่ปกติ จึงอร่อยเคี้ยวเพลินมากๆ
ในอีกด้านหนึ่ง สตรอว์เบอร์รี่สีขาวของยามานาชิที่ชื่อ ฮัตสึโค่ยโนะคาโอริ (Hatsukoi no Kaori) ก็อาจทำให้ผู้พบเห็นสงสัยแปลกใจอยู่ไม่น้อย แค่หน้าตาก็ดูดีสมกับชื่อแสนโรแมนติกที่แปลว่า “กลิ่นหอมแห่งรักครั้งแรก” แล้ว อย่าลืมดื่มด่ำกับรสชาติชั้นเลิศที่ซ่อนอยู่ให้เต็มที่เพราะสตรอว์เบอร์รี่พันธุ์นี้ปกติจะมีราคาประมาณ 1,000 เยนต่อลูกเลยทีเดียว!
2 วิธีในการซื้อผลไม้พรีเมี่ยม
หลังจากอ่านเกี่ยวกับผลไม้น่าอร่อยยั่วกิเลสในญี่ปุ่นกันไปแล้ว คุณคงอยากควักกระเป๋าซื้อบางชนิดมาลิ้มลองแล้วแน่ๆ งั้นก็ตามไปดู 2 วิธีในการหาซื้อผลไม้พรีเมี่ยมด้านล่างนี้กันเลย
1. ใช้บริการร้านผลไม้เฉพาะทาง
หากคุณอยากชมผลไม้เกรดพรีเมี่ยมที่ถูกจัดแสดงไว้ราวกับอัญมณีชั้นดีก็ไม่ควรพลาดร้าน Sembikiya ร้านนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1834 เป็นหนึ่งในร้านผลไม้ชั้นแนวหน้าของญี่ปุ่นและเป็นหนึ่งในร้านที่ผู้คนชื่นชอบมากที่สุด จุดเด่นของร้านนี้ คือ สาขาที่มีมากถึง 17 แห่ง โดยอยู่ในโตเกียวและโยโกฮาม่าเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงร้านสาขาหลักที่อยู่ใน Nihonbashi Mitsui Tower ด้วย
ผลไม้แต่ละผลจะถูกจัดแสดงอย่างโดดเด่น ให้พื้นที่เพียงพอที่จะสะท้อนแสงอ่อนๆ และร่ายมนตร์สะกดประสาทรับรู้และเงินในกระเป๋าของคุณ ผลไม้สุดหรูเหล่านี้มีราคาค่อนข้างสูง เพียงแอปเปิ้ลลูกเดียวก็อาจขายปลีกในราคาถึง 1,620 เยน เป็นชั้นวางขายผลไม้ระดับสูงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
2. ใช้บริการห้างสรรพสินค้าระดับสูง
ในลักษณะเดียวกัน หากใครสนใจใช้บริการห้างสรรพสินค้าระดับสูงในย่านช็อปปิ้งหรูๆ ของกินซ่า ชินจูกุ และชิบูย่า ก็ให้เดินไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตที่มักจะจัดไว้ในชั้นใต้ดิน คุณจะพบกับภาพของผลไม้สุดเพอร์เฟกต์ที่เรียงรายกันอยู่ ห้างที่คุณไม่ควรพลาด ได้แก่ Ginza Mitsukoshi, Shinjuku Takashimaya และ Isetan Shinjuku
3 วิธีในการรับประทานผลไม้ที่ถูกกว่า
หากคุณต้องการบริโภคผลไม้ญี่ปุ่นอร่อยๆ แต่มีงบไม่มากก็ไม่ต้องกังวลไป! ด้านล่างนี้เป็น 3 วิธีที่คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์ดีๆ พลางเอร็ดอร่อยไปกับผลไม้ เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!
1. ทำงานในสวนผลไม้
สนใจทำงานกับชาวสวนญี่ปุ่นโดยตรงและเรียนรู้ความทุ่มเทในการปลูกไม้ของพวกเขาไปด้วยไหม? หากสนใจก็สามารถลองสมัคร WWOOF Japan (World-Wide Opportunities On Organic Farms) ได้ โปรแกรมนี้จะรับอาสาสมัครไปทำงานในสวน และให้ค่าตอบแทนเป็นที่พักกับผลไม้ ไม่เพียงแต่ทำให้คุณได้รับประทานผลไม้ที่ชื่นชอบเท่านั้น แต่ยังทำให้คุณได้เก็บเกี่ยวความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับขั้นตอนการทำสวนอีกด้วย ยิ่งเป็นคนลงแรงปลูกเอง ตอนได้ทานก็จะยิ่งมีความสุขเป็นเท่าตัว
2. เข้าร่วมคอร์สเก็บผลไม้
หากใครไม่พร้อมจะทำงานสวนก็สามารถสบายใจได้ เมื่อฤดูผลไม้มาถึง ก็จะมีชาวสวนหลายคนจัดคอร์สเก็บผลไม้ขึ้นที่ฟาร์มของตัวเอง คุณสามารถสมัครแพ็กเกจกินไม่อั้นและทานผลไม้ที่คุณเด็ดเองให้หนำใจได้ เป็นการเพลิดเพลินกับผลตอบแทนจากเรี่ยวแรงของตัวเองโดยแท้ บางสวนยังอนุญาตให้คุณนำผลไม้กลับบ้านไปเป็นของฝากอีกด้วย เนื่องจากปริมาณที่สามารถบริโภคได้จะถูกจำกัดโดยลิมิตกระเพาะของคุณเองเท่านั้น จึงนับว่าเป็นประสบการณ์ที่ได้กำไรสุดๆ!
3. ช็อปที่ตลาดชาวสวน
นอกจากนี้ ชาวสวนยังมีการจัดตลาดชาวสวนในช่วงสุดสัปดาห์ โดยตั้งบูธและให้ผู้มาเยี่ยมชมได้ซื้อผลไม้โดยตรง นี่เป็นสถานที่ที่ชาวสวนบางรายจะนำผลไม้ที่มีตำหนิมาเทขายในราคาถูก หากคุณต้องการดื่มด่ำกับความหวานของผลไม้เหล่านี้โดยไม่สนใจเรื่องหน้าตามากนัก นี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้เพลิดเพลินกับผลไม้คุณภาพสูงโดยไม่ต้องทุบกระปุกซื้อ ตลาดชาวสวนชื่อดังในโตเกียวก็มีทั้ง Roppongi Ark Hills Marche, ตลาดชาวสวนในมหาวิทยาลัยสหประชาชาติ และ Ebisu Marche
ส่งท้าย
ถึงตอนนี้คุณคงเข้าใจแล้วว่าทำไมผลไม้ในญี่ปุ่นถึงแพงแสนแพง ความอุตสาหะและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของชาวสวนญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก ครั้งหน้าที่ได้เห็นผลไม้ราคาสูงเหล่านี้ก็อย่าลืมใช้เวลาเพื่อชื่นชมกับเรี่ยวแรงที่พวกเขาใช้ในการปลูกพวกมันด้วยล่ะ
เครดิตภาพหัวเรื่อง: MrLeefoto / Shutterstock.com
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊กได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่