ภาษาญี่ปุ่นนับเป็นภาษาที่ค่อนข้างยาก ทั้งคันจิ และอีกหลายคำที่ออกเสียงคล้ายกันแต่กลับมีความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง (เช่น Kawaii กับ Kowai) ในบทความนี้ เราจะมาดู 10 คำศัพท์ที่คนเริ่มหัดเรียนภาษาญี่ปุ่นมักจะสับสน พร้อมแนะนำเคล็ดลับไม่ให้ผิดพลาด!
เกริ่นกันสักหน่อย

การออกเสียงของภาษาญี่ปุ่นมีทั้งข้อดีและเสีย เมื่อเทียบกับภาษาไทยหรืออังกฤษภาษาญี่ปุ่นจะมีเสียงแปลกๆ น้อยกว่ามาก จึงง่ายต่อการออกเสียง แต่กลับกัน ด้วยจำนวนเสียงที่ค่อนข้างน้อยจึงมีคำที่ออกเสียงคล้ายกันหลายคำ เราจะเจอคำพ้องเสียงหรือเกือบจะพ้องเสียงแทบจะตลอดเวลา และหลายคำก็จะแยกแยะได้ด้วยบริบท ความแตกต่างเล็กน้อยในการออกเสียง หรือที่หาได้ยากหน่อยก็ด้วยน้ำเสียงเท่านั้น เรียกได้ว่าแทบจะเป็นฝันร้ายของคนเรียนญี่ปุ่นเลยทีเดียว
เพื่อช่วยผู้ที่เพิ่งเริ่มเรียน เราจึงได้รวบรวมคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นที่ผู้เพิ่งเริ่มเรียนมักสับสน เช่น kawaii/kowai และ ani/oni ให้สังเกตความแตกต่างและจดจำไว้เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจทำให้คุณเขินๆ ได้
คำที่สับสนได้ง่าย
1. Kawaii / Kowai

kawaii (かわいい / คา – วา – อี้) แปลว่าน่ารัก เป็นคำที่ใช้ทั่วไปและเจอได้ในหลากหลายบริบทเนื่องจากในวัฒนธรรมญี่ปุ่นมีอะไรน่ารักๆ เต็มไปหมด แต่ระวังการออกเสียงไว้ให้ดีล่ะ
猫が可愛いい (Neko ga kawaii) - แมวน่ารัก
เมื่อพูดเร็วๆ เสียง kawaii อาจกลายเป็น kowai (こわい / โค – วา – อิ) ซึ่งแปลว่า น่ากลัว หวาดกลัว รู้สึกกลัว แทน ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันทั่วไป ดังนั้นเวลาคุณพบเห็นสิ่งน่ารัก อย่าลืมออกเสียง คะ ให้ชัดเจน และลากเสียง อี้ ให้ยาว เพื่อให้มีโอกาสสับสนน้อยลง!
猫が怖い (Neko ga kowai) - แมวน่ากลัว
คำว่า kawaii ยังมักถูกสับสนกับอีกคำหนึ่ง ซึ่งเราจะอธิบายในข้อ 7
2. Suwaru / Sawaru

เสียงต่างกันเพียงพยางค์เดียวก็กลายเป็นคนละคำเแล้ว!
Suwaru (座る,すわる / สุ – วา – รุ) แปลว่านั่งลง ไม่ว่าจะเป็นนั่งบนเก้าอี้ บนเบาะ หรือบนพื้น
座ってください (Suwatte kudasai) - กรุณานั่งลง
ส่วน Sawaru (触る, さわる / ซา – วา – รุ) แปลว่าการจับ การสัมผัส ดังนั้นเวลาที่เราจะเชิญใครสักคนให้นั่งลงบนเก้าอี้ อย่าลืมออกเสียง สุ ให้ชัดเจน
触ってください (Sawatte kudasai) - กรุณาจับ, กรุณาสัมผัส
3. Okusan / Okaasan

การใช้สองคำนี้สลับกันอาจไม่ถือว่าเลวร้ายมากนัก แต่ก็ยังอาจทำให้เกิดความสับสนอยู่ดี Okusan (奥さん, おくさん / โอะ – คุ – ซัง) เป็นการเรียกภรรยาของผู้อื่นอย่างสุภาพ ส่วน Okaasan (お母さん, おかあさん / โอะ – ก้า – ซัง) จะเป็นการเรียกคุณแม่แบบสุภาพ จุดสำคัญคือเสียงพยางค์ที่สอง : ถ้าจะใช้เรียกภรรยาต้องเป็น คุ ถ้าเรียกแม่จะเป็น คะ เสียงยาว
私のお母さんです (Watashi no okaasan desu) - แม่ของฉัน
私の奥さんです (Watashi no okusan desu) - ภรรยาของฉัน
4. Okashi / Okashii

อย่างที่กล่าวไว้ว่าภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่มีเสียงสระน้อยมากในการสร้างคำ ทำให้มีหลายคำที่ใช้เสียงเดียวกัน การใช้ตัวอักษรคันจิจึงมีประโยชน์เป็นอย่างมากในการอ่าน แต่ในภาษาพูดเราสามารถพึ่งพาได้เพียงบริบทและการเน้นเสียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง
สองคำข้างต้นเป็นคำเกือบพ้องเสียงที่ต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น คำแรกคือ okashi (お菓子, おかし / โอะ – คา -ชิ) ซึ่งแปลว่าขนม ของว่าง ของทานเล่น ไม่ว่าจะเป็นเค้ก คุกกี้ เซ็มเบ้ หรือขนมขบเคี้ยวต่างๆ
お、お菓子! (O, okashi!) - อุ๊ย! ขนม!
ส่วนคำว่า okashii (おかしい / โอะ – คา – ชี่) แปลว่าประหลาดหรือแปลก มักใช้เวลาพบเจอกับอะไรที่ผิดปกติ หรือมีสิ่งที่แปลกประหลาดไม่คาดคิดเกิดขึ้น
お、おかしい! (O, okashii!) - อุ๊ย ประหลาดจัง!
สองคำนี้ออกเสียงแทบจะเหมือนกัน เว้นเพียงแต่ okashii พยางค์สุดท้ายจะเป็นเสียงยาว ออกเป็นเสียง ชี่ ถ้าเจออะไรแปลกๆ ก็อย่าลืมลากเสียงสักหน่อย แต่หากพูดถึงขนม เสียง shi จะออกเสียงสั้นๆ แค่ ชิ
5. Aru / Iru

ภาษาญี่ปุ่นจะมีคำศัพท์ที่ใช้แยกกันระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต เวลาสนทนาก็ต้องใช้แยกให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นก็อาจทำให้ผู้ฟังสับสนได้ หากพูดถึงสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ป่า จะต้องใช้คำว่า aru (ある / อะ – รุ) เพื่ออธิบายการมีอยู่ของสิ่งนั้น
森がある (Mori ga aru) - "มีป่าอยู่"
ในทางกลับกัน หากคุณต้องการชี้บอกว่าเพื่อนของคุณที่ชื่อโมริอยู่ตรงนั้นในภาษาแบบกันเองจะพูดว่า:
森がいる (Mori ga iru) - "(คุณ)โมริอยู่"
ในกรณีนี้ iru ชี้ให้เห็นว่า Mori ในประโยคเป็นสิ่งมีชีวิต ดังนั้นจึงเป็นชื่อของบุคคล ไม่ได้หมายถึงป่าไม้ แม้ว่า aru กับ iru จะไม่ได้ออกเสียงคล้ายกันมากนัก แต่ถือเป็นคำสำคัญที่จะต้องรู้ถึงความหมายและวิธีการใช้เพื่อให้ใช้ได้อย่างถูกต้องเวลาพูดคุย
6. Oni / Ani

หลายคนอาจไม่สามารถแยกสองคำนี้ออกจากกันได้ แต่อย่างไรก็ควรใช้ให้ถูกต้องดีกว่า คำแรกคือคำว่า oni (鬼, おに / โอะ – นิ) ซึ่งแปลได้ว่าปีศาจ ยักษ์
鬼がいる! (Oni ga iru!) - "มีปีศาจ/ยักษ์!"
อีกคำหนึ่งคือ ani (兄, あに) (อะ – นิ) พี่ชาย
兄がいる!(Ani ga iru) - "มีพี่ชายอยู่!"
ani เป็นภาษาสบายๆ ไม่เป็นทางการที่ใช้เวลาพูดถึงพี่ชายของตนเอง หากออกเสียงผิดจาก อะ เป็น โอะ ความหมายจะเปลี่ยนไปในทันที กลายเป็นว่าคุณเรียกพี่ชายคุณว่าปีศาจ แต่ก็ยังมีที่งงกว่านั้นอีก:
คำสุภาพสำหรับพี่ชายในภาษาญี่ปุ่นคือ onii-san (お兄さん / โอะ – นี่ – ซัง) ซึ่งสามารถใช้ในการเรียกพี่ชายตัวเองหรือเรียกพี่ชายของคนอื่นก็ได้ ด้วยการออกเสียงใกล้เคียงกับ oni! มาก เวลาคุณพูดถึงพี่ชายของใครสักคน ก็อย่าลืมลากเสียง nii ให้ยาวหน่อย เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะไม่เรียกผิดจากพี่ชายกลายเป็นยักษ์หรือปีศาจ (แม้ว่าการเรียกปีศาจว่า oni-san ออกจะสุภาพเกินไปหน่อยก็ตาม)
7. Kawaisou

ถือเป็นอีกคำที่อาจจะเข้าใจผิดและใช้ผิดได้ง่าย เป็นความผิดพลาดที่แอดวานซ์ไปอีกขั้นจากไวยากรณ์ ไม่ใช่เพียงคำเดี่ยวๆ เมื่อเรียนเกี่ยวกับการสร้างคำหรือประโยคภาษาญี่ปุ่น ผู้เรียนมักจะรู้จักคำประสม sou (そう / โซ) ซึ่งใช้ต่อท้ายคำคุณศัพท์เพื่อแสดงความคิดว่า “ดูเหมือนจะ” ยกตัวอย่างคำที่มักได้ยินบ่อยๆ คือ
おいしそう!(Oishisou!) - "น่าอร่อยจัง!"
ในกรณีนี้คือผู้พูดยังไม่ได้ลองชิมอาหารและยังไม่มีใครบอกรสชาติว่ามันอร่อย เป็นเพียงการแสดงความเห็นจากการมองเห็นหรือได้ฟังคำอธิบายเพียงเท่านั้น คำว่า Sou ค่อนข้างยืดหยุ่นและสามารถใช้ได้ในหลายสถานการณ์กับหลายคำคุณศัพท์
บางครั้งเวลามองเห็นอะไรน่ารัก อาจมีบางคนพูดเพี้ยนไปว่า
かわいそう! (Kawaisou!) - ดูน่ารักจัง ❌
แต่ในความหมายจริงๆ ของคำนี้คือ :
かわいそう! (Kawaisou!) - น่าสงสารจัง ✅
kawaisou (可哀想) เป็นคำศัพท์หนึ่งคำในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งแปลว่าน่าสงสารหรือน่าเศร้า มักใช้แสดงความสงสาร เช่นเมื่อเห็นเด็กเล็กตกลงไปในแอ่งน้ำ หรือเมื่อมีคนทำแซนด์วิชหล่น หากต้องการจะบอกว่าบางสิ่งดูน่ารัก เราแนะนำให้ใช้คำว่า kawai rashii (可愛らしい) แทน
False Friends
สำหรับ 3 คำสุดท้าย เราจะเสนอคำที่เป็น false friends (คำศัพท์หรือสำนวนที่มีการสะกดหรือออกเสียงคล้ายๆ กัน แต่ความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง) หรือเรียกอีกอย่างว่า wasei eigo (和製英語) ที่แปลว่าภาษาอังกฤษที่สร้างโดยคนญี่ปุ่น เป็นคำที่ฟังดูเหมือนภาษาอังกฤษ และพูดเหมือนภาษาอังกฤษ แต่มีความหมายที่แตกต่างไปจากคำอังกฤษโดยสิ้นเชิง
เดิมทีคำเหล่านี้มีรากมาจากภาษาอังกฤษ แต่เมื่อนำไปทับศัพท์ใช้ในชีวิตประจำวันบ่อยๆ ก็ทำให้ความหมายค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจนแตกต่างออกไปไม่เหลือเค้าเดิม
8. Konsento

ในญี่ปุ่นคุณจะไม่เจอ konsento (コンセント) ในเอกสารหรือในสัญญา แม้จะดูเหมือนเป็นคำทับศัพท์ของ Consent ในภาษาอังกฤษ แต่จริงๆ แล้ว konsento หมายถึงเต้าไฟที่ไว้เสียบสายชาร์จ คำนี้เป็นการพูดถึง concentric plug โดยย่อ ซึ่งหากรู้ที่มาก็อาจช่วยให้จำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น
9. Baikingu

คำที่ชวนให้สับสนได้ยิ่งกว่าคือ baikingu (バイキング) โดยเฉพาะผู้ที่ชินกับภาษาอังกฤษอาจยิ่งเข้าใจผิดได้ง่าย บางคนอาจคิดว่า biking คือการปั่นจักรยาน หรือบางคนที่รู้ว่าคนญี่ปุ่นจะมีปัญหาในการออกเสียงตัว V อาจนึกภาพชาวนอร์สโบราณในเรือรบไวกิ้งแทน
baikingu ไม่ใช่ทั้งการขี่จักรยานหรือชาวไวกิ้ง แต่หมายถึงบุฟเฟ่ต์ต่างหาก คำนี้เกิดขึ้นเนื่องจากร้านอาหารสไตล์บุฟเฟ่ต์แห่งแรกที่เปิดให้บริการในญี่ปุ่นคือ Imperial Viking ซึ่งตั้งชื่อตามภาพยนตร์อเมริกันเรื่อง The Vikings (1958) ที่ได้รับความนิยมในเวลานั้นนั่นเอง
แม้ภาษาญี่ปุ่นมักจะย่อคำอยู่บ่อยๆ แต่อย่าได้คิดไปตัดทอนคำว่า baikingu ให้สั้นลงเชียว เพราะคำว่า baikin (黴菌) จะแปลว่าแบคทีเรียหรือเชื้อโรคไปแทน
10. Faito

หนึ่งในคำ wasei eigo ที่ได้ยินบ่อยมากที่สุด ก็อาจเป็นคำที่ทำให้เข้าใจผิดได้ง่ายที่สุด ถ้าคุณไปเที่ยวกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นในวันก่อนวันสำคัญอย่างก่อนวันพรีเซนต์งานหรือก่อนวันสอบ พวกเขาอาจจะมอบรอยยิ้มและแสดงท่าทางชูกำปั้นขึ้นมาพร้อมพูดกับคุณว่า “faito!” (ファイト!) แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การบอกให้คุณไปต่อสู้กับใคร แต่มันคือการบอกให้คุณสู้ๆ เป็น wasei eigo ที่มีความหมายเดียวกับคำว่า ganbatte (頑張って) ที่แปลว่า พยายามเข้านะ! นั่นเอง
ตระหนักถึงความแตกต่าง

ในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างของคำที่พบได้บ่อย แต่ยิ่งเรียนภาษาญี่ปุ่นลึกขึ้นเท่าไร คุณก็จะยิ่งพบเจอกับคำพ้องเสียงและวลีที่ชวนให้สับสนมากขึ้นเท่านั้น แต่ไม่ต้องกลัวไป การสื่อสารผิดพลาดเนื่องจากการออกเสียงผิดนั้นไม่ค่อยเกิดขึ้นเท่าไหร่ ส่วนมากคำที่ให้เสียงคล้ายกันมักใช้ในบริบทที่แตกต่างกัน แม้ว่าจะออกเสียงไม่ถูกต้องทั้งหมด คนส่วนใหญ่ก็จะเดาได้ว่าต้องการพูดถึงอะไร
หากต้องการพูดด้วยสำเนียงที่ถูกต้อง ทางที่ดีที่สุดคือการศึกษาสำเนียงและฝึกพูดอย่างถูกต้อง การเรียนจะช่วยให้รู้คำศัพท์ที่แตกต่างกัน ส่วนการฝึกออกเสียงจะช่วยให้สามารถพูดได้อย่างถูกต้องและใช้คำได้ถูกสถานการณ์ ยิ่งฝึกฝนมากก็จะยิ่งแยกได้ง่ายขึ้น!
จะไม่มี kawaii ที่ออกเสียงเหมือน kowai อีกต่อไป ความน่ารักและความน่ากลัวจะกลายเป็นคำสองคำที่แยกออกจากกันอย่างที่มันสมควรจะเป็น
Title image: meamorworks / Shutterstock
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊กได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่