คนส่วนมากมักจะอยากอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ของญี่ปุ่น เมืองที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ผู้คนมากมายและนวัตกรรมที่ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่คุณจะเชื่อไหมหากเราบอกว่าญี่ปุ่นมีอะไรที่มากกว่านั้นเก็บซ่อนอยู่นอกเมืองใหญ่? ในบทความนี้ เราจะมาดูเหตุผลหลากประการที่จะบอกว่าการใช้ชีวิตในชนบทของญี่ปุ่นดีกว่าการอยู่ในเมืองอย่างไร โดยเราจะใช้ข้อมูลจากคำบอกเล่าของคนที่เติบโตในมหานครใหญ่ๆ ของญี่ปุ่นมาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าครองชีพหรือโอกาสในการฝึกภาษา ซึ่งถือเป็นสิ่งที่คุณควรพิจารณาให้ดีก่อนจะย้ายมาอยู่ญี่ปุ่น!
คำว่า “ชนบทของญี่ปุ่น” หมายถึงอะไร?
แต่ละคนให้คำนิยามกับ “ชนบท” แตกต่างกันไป สำหรับบางคน ชนบทหมายถึงที่ที่ห่างไกล มีเพียงร้านสะดวกซื้อที่ต้องใช้เวลาถึง 15 นาทีในการเดินไป แต่ในบทความนี้ คำว่า “ชนบท” หมายถึง สถานที่ใดก็ได้ ที่ไม่ใช่เมืองใหญ่อย่างฟูกุโอกะ, โตเกียว, โอซาก้า, เกียวโต, ซัปโปโรและเมืองใหญ่อีกมากมายที่เราคิดว่าคุณคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว
เอาล่ะ เราคิดว่าคุณน่าจะเข้าใจคำว่า “ชนบทญี่ปุ่น” ของเรามากขึ้นแล้ว งั้นเราก็มาดูกันต่อเลยดีกว่าว่าอะไรที่ทำให้การใช้ชีวิตในชนบทที่ญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม
1. ทักษะภาษาญี่ปุ่นพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
พื้นที่ในแถบชานเมืองมักจะมีชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวน้อยกว่าในเมืองหลวง ซึ่งจะทำให้คุณจะมีตัวช่วยในเรื่องภาษาน้อยลงมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริการหรือป้ายบอกสถานที่ต่างๆ หากคุณต้องการจะไปไหนหรือทำอะไรด้วยตัวเอง ก็จำเป็นจะต้องใช้ความรู้ภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดที่มีเพื่อเอาตัวรอด และนี่คือแรงผลักดันสำคัญที่จะทำให้ภาษาญี่ปุ่นของคุณพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผู้ให้ข้อมูลของเราเล่าว่า “ฉันเคยอาศัยอยู่ในเมืองโอคายาม่า แม้ว่าจะเป็นเมืองที่ใหญ่เมื่อเทียบกับอีกหลายๆ เมือง แต่โอคายาม่า ก็ยังถือเป็น ‘ชนบท’ สำหรับคนโตเกียวหรือคนโอซาก้าอยู่ดี ถึงที่นี่จะมีป้ายบอกทางและบริการในภาษาต่างๆ แต่นอกนั้นก็แทบจะต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด เพื่อนบ้านของฉันเป็นคนญี่ปุ่นทั้งหมด และไม่มีใครที่พูดคุยเป็นภาษาอังกฤษกับฉันเลยสักคน ความรู้ภาษาญี่ปุ่นที่ฉันมีพอจะใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันได้ และฉันพบว่าตัวเองต้องดิ้นรนกับการใช้ชีวิตในหลายๆ ด้านตั้งแต่การเดินทางไปจนถึงการซื้อของ แต่อุปสรรคที่ฉันต้องฝ่าฟันมันให้ประโยชน์กับฉันอย่างมาก เพราะในระยะเวลาไม่ถึงปี ภาษาญี่ปุ่นของฉันพัฒนาขึ้นอย่างน่าตกใจและทำให้ฉันสอบผ่าน JLPT N2 (Japanese Language Proficiency Test) มาได้”
2. ค่าครองชีพในชนบทต่ำกว่าเมืองหลวงมาก
ตั้งแต่ร้านขายของชำไปจนถึงค่าเช่าบ้าน คุณจะพบว่าคุณสามารถประหยัดเงินและค่าใช้จ่ายในชนบทได้มากกว่าที่คุณจะทำได้ในเมืองใหญ่ จากรายงาน ค่าครองชีพในแต่ละจังหวัด ประจำปี ค.ศ. 2007 โดยสำนักงานสถิติของญี่ปุ่น พบว่า 5 จังหวัดที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด ได้แก่ :
- โตเกียว
- คานางาวะ
- เกียวโต
- โอซาก้า
- เฮียวโกะ
ในขณะที่ 5 จังหวัดที่ค่าครองชีพถูกที่สุด ได้แก่ :
- เอฮิเมะ
- คุมาโมโต้
- มิยาซากิ
- กุนมะ
- โอกินาว่า
นอกจากโอกินาว่าแล้ว จังหวัดที่ถูกที่สุดด้านบนนี้ถือเป็นพื้นที่ “ชนบท” สำหรับคนญี่ปุ่นทั้งหมด เนื่องจากมีจำนวนประชากรน้อยเมื่อเทียบกับจังหวัดที่มีค่าครองชีพสูง
สำหรับคนที่มาทำงานในญี่ปุ่นในระยะแรกเริ่ม นี่เป็นสิ่งที่คุณจะต้องคำนึงก่อนจะตอบรับข้อเสนอจากบริษัทต่างๆ เนื่องจากญี่ปุ่นไม่เหมือนกับอีกหลายๆ ประเทศ เด็กจบใหม่ในญี่ปุ่นส่วนมากมักจะอาศัยอยู่กับครอบครัวทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับค่าเช่า, ค่าอาหารการกินและของใช้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเงินเดือนเริ่มต้นในญี่ปุ่นถึงค่อนข้างต่ำ หากคุณอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะใช้ชีวิตกับเงินเดือนเพียงเท่านี้โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากทางบริษัทที่คุณทำงานอยู่ (เช่น เงินช่วยเหลือค่าที่อยู่อาศัย) หากคุณอยากรู้ว่าค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตในโตเกียวเป็นอย่างไร สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่
3. ผูกสัมพันธ์กับคนในท้องถิ่นได้ง่าย
ยิ่งเมืองเล็กเท่าไรก็ยิ่งทำให้เราผูกมิตรกับผู้คนในละแวกนั้นได้มากขึ้นและง่ายขึ้นเท่านั้น ยิ่งหากคุณเป็นชาวต่างชาติเพียงคนเดียวละแวกนั้นด้วยแล้วล่ะก็ พวกเขาจะให้ความสนใจและอยากรู้จักคุณมากขึ้น ดังนั้น หากเป้าหมายของคุณ คือ การผูกสัมพันธ์กับคนท้องถิ่นและหาเพื่อนชาวญี่ปุ่น การอาศัยและทำงานในชนบทก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีมากทางหนึ่งที่จะทำให้คุณบรรลุเป้าหมายนี้ได้
“ตลอดเวลาที่ฉันอาศัยอยู่ในโอคายาม่า ฉันได้พูดคุยกับเพื่อนบ้านเป็นประจำและจำชื่อสุนัขของเขาได้ทุกตัว บางครั้งฉันจะทำอาหารไปแบ่งพวกเขาและมักจะได้วัตถุดิบที่พวกเขาปลูกเองกลับมาเป็นการตอบแทน แม้จะผ่านไปหลายปี แต่ทุกครั้งที่ฉันกลับไปยังเมืองนี้ ฉันก็ยังพูดคุยกับพวกเขาได้อย่างสนุกสนานทุกครั้ง”
4. ได้มีชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น
ชีวิตในชนบทนั้นผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
สำหรับผู้ที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิตในชนบท คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความแออัดในการเดินทางอย่างในเมืองใหญ่ ซึ่งจะมีช่วงที่รถไฟแน่นและแออัดสุดๆ ถึงขนาดที่ต้องให้นายสถานีมาช่วยกันดันคนเข้าไปในตัวรถเพื่อที่จะปิดประตูให้ได้กันเลย และถึงแม้ว่าคุณจะเดินทางในเมืองด้วยรถยนต์ ก็ยังต้องเผชิญกับท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถราต่างๆ ทั้งรถติดไม่ขยับอีกเป็นชั่วโมง
การมีค่าครองชีพที่ถูกลงจะทำให้คุณสามารถใช้จ่ายกับของฟุ่มเฟือยอย่างอื่นได้มากขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าคุณจะอยู่ห่างไกลจากความสนุกและแสงสีของเมืองใหญ่ๆ แต่เมืองชนบทส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นก็มักจะอยู่ห่างจากเมืองใหญ่ไม่เกิน 2 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้การเดินทางไปเที่ยวในเมืองใหญ่ไม่ใช่อะไรที่ไกลเกินเอื้อมเลย
เมื่อนำไปรวมเข้ากับการเดินทางที่ไม่แออัด ไม่มีเสียงดังรบกวนและอากาศสดชื่นที่ไร้มลพิษแล้ว บอกได้เลยว่านี่คือที่ที่สะดวกสบายสำหรับอยู่อาศัยมากจริงๆ
5. คุณจะได้พบความเป็น “ญี่ปุ่นที่แท้จริง”
สำหรับข้อนี้อาจจะมีคนอยากแย้งว่าทุกๆ ที่ในญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่น ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ในความเป็นจริง ประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นต่างก็มักจะถูกซุกซ่อนเอาไว้เบื้องหลังความทันสมัยในเมืองใหญ่
หากคุณอยู่ในพื้นที่ชนบท คุณจะได้พบกับความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่ยังมีชีวิตสีสัน สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเก่าแก่ได้ดี นอกจากนี้ พื้นที่ชนบทก็มักจะมีงานเทศกาลมากมายตลอดทั้งปี ผู้คนยังคงมีส่วนร่วมในพิธีกรรมและพิธีการเก่าแก่ ดำรงชีวิตและทำสิ่งต่างๆ ด้วย “วิถีดั้งเดิม” นับเป็นประสบการณ์ที่มีค่าแก่การชมและสัมผัสเป็นอย่างมาก
6. เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
ในพื้นที่ชนบทที่อยู่ไกลออกไปอีก คุณจะสามารถเดินไปยังทุ่งหญ้า ภูเขา ป่าหรือทะเลได้ในระยะทางสั้นๆ มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจ (และผ่อนคลาย) มากกับการที่ได้อยู่ในบริเวณที่มีอากาศบริสุทธิ์ มีต้นไม้เขียวขจี หาดทรายและเสียงคลื่นอยู่ใกล้ตัว “แม้ว่าฉันต้องตื่นแต่เช้ามากในทุกๆ วันเพื่อไปทำงาน แต่มันก็ไม่ได้ทรมานอย่างที่คิดเมื่ออยู่ในโอคายาม่า เพราะตลอดทางที่ไปทำงาน ฉันสามารถเดินผ่านทุ่งนาและดูเป็ดว่ายน้ำในแม่น้ำใกล้ๆ ได้”
7. สามารถหางานได้ง่ายขึ้น
หนึ่งในวิธีที่ชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษได้ใช้ในการเข้ามาอยู่ในญี่ปุ่นมากที่สุด คือ การเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ JET (Japan Exchange and Teaching Program) โครงการนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นใบเบิกทางสู่ญี่ปุ่นและอุตสาหกรรมการสอนภาษาอังกฤษและมักจะมีผู้สมัครหลายพันคนในทุกๆ ปี คนส่วนมากมักจะขอไปอยู่ในเมืองใหญ่ (โครงการอื่นๆ ก็เช่นกัน) อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายเมืองในญี่ปุ่นที่ต้องการอาจารย์สอนภาษาอังกฤษรวมถึงพื้นที่ชนบท ดังนั้น ผู้สมัครที่ต้องการไปอยู่ตามพื้นที่ชนบทก็จะมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับการตอบรับเข้าร่วมโครงการสูง
แนวคิดพื้นฐานในเรื่องอุปสงค์และอุปทาน (Demand & Supply) สามารถนำมาใช้กับการหางานในชนบทได้เช่นกัน เพราะในขณะที่จำนวนงานที่เปิดรับสมัครน้อยกว่าที่คุณจะหาได้ตามเมืองใหญ่ๆ แต่ก็มีผู้สมัครน้อยลงด้วยเช่นกัน ดังนั้น คุณจึงมีโอกาสที่จะได้งาน (และวีซ่า!) มากกว่าเมืองใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่คุณมีความสามารถพิเศษเฉพาะตัว
บทสัมภาษณ์จากชาวต่างชาติที่ใช้ชีวิตในญี่ปุ่น
เราได้ทำการสำรวจเล็กน้อยผ่านผู้อ่านและนักเขียนของเราเกี่ยวกับการใช้ชีวิตและการทำงานในชนบทญี่ปุ่น! เรามาดูกันดีกว่าว่าพวกเขาคิดอย่างไรกันบ้าง
■ ปิแอร์ (แคนาดา)
คุณอาศัยและทำงานที่ไหนในญี่ปุ่น?
เมืองฟุกุอิ จังหวัดฟุกุอิ (Fukui, Fukui)
คุณชอบอะไรในชนบทของญี่ปุ่น?
ชุมชนที่อบอุ่นและสนิทสนมกัน
คุณชอบใช้ชีวิตและทำงานในชนบทหรือเมืองใหญ่ของญี่ปุ่นมากกว่ากัน?
ชนบทของญี่ปุ่นครับ ผมรู้สึกว่าผมมีโอกาสเยอะขึ้นเพราะมีคนอาศัยอยู่น้อยกว่าและทุกคนมีภูมิหลังคล้ายๆ กัน
คุณมีคำแนะนำอะไรสำหรับคนที่คิดจะย้ายมาอยู่ในชนบทของญี่ปุ่นบ้างไหม?
เปิดใจอยู่เสมอและคิดว่าทุกอย่างคือโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ครับ
■ คริส (สหรัฐอเมริกา)
คุณอาศัยและทำงานที่ไหนในญี่ปุ่น?
เมืองซูชิ จังหวัดคานางาวะ (Zushi, Kanagawa)
คุณชอบอะไรในชนบทของญี่ปุ่น?
ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทั้งยังเงียบสงบกว่าและผู้คนก็จำหน้าตาของคุณได้ ให้ความรู้สึกเหมือนชุมชนมากกว่าแค่สถานที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังมีตลาดของเกษตรกรในท้องถิ่นที่เปิดทุกวันให้คุณได้ซื้อผักที่ปลูกกันในท้องถิ่นด้วย
คุณชอบใช้ชีวิตและทำงานในชนบทหรือเมืองใหญ่ของญี่ปุ่นมากกว่ากัน?
ผมชอบใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในชนบทมากกว่าครับ เหตุผลก็ตามที่บอกเลย
คุณมีคำแนะนำอะไรสำหรับคนที่คิดจะย้ายมาอยู่ในชนบทของญี่ปุ่นบ้างไหม?
มีส่วนร่วมกับชุมชนโดยการเป็นอาสาสมัครหรือเข้าร่วมกิจกรรมในท้องถิ่นและเริ่มหางานอดิเรกกลางแจ้งทำ
■ ไค เล่อ (สิงคโปร์)
คุณอาศัยและทำงานที่ไหนในญี่ปุ่น?
เมืองคุมาโมโต้ จังหวัดคุมาโมโต้ (Kumamoto, Kumamoto)
คุณชอบอะไรในชนบทของญี่ปุ่น?
ใกล้ชิดกับธรรมชาติอันสวยงาม ผู้คนจิตใจดีและเป็นมิตร อาหารท้องถิ่นอร่อย!
คุณชอบใช้ชีวิตและทำงานในชนบทหรือเมืองใหญ่ของญี่ปุ่นมากกว่ากัน?
ผมชอบใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในชนบทของญี่ปุ่นมากกว่า ผมว่าจังหวะการใช้ชีวิตมันตึงเครียดน้อยกว่า คุมาโมโต้เป็นเมืองที่คนไม่เยอะเท่าฟูกุโอกะแล้วก็สร้างความสัมพันธ์กับผู้คนได้ง่ายกว่าด้วย
คุณมีคำแนะนำอะไรสำหรับคนที่คิดจะย้ายมาอยู่ในชนบทของญี่ปุ่นบ้างไหม?
คนญี่ปุ่นโดยทั่วไปเป็นคนที่น่ารักและใจดีมาก ดังนั้น คุณสามารถขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้
■ อาเลน่า (เยอรมัน)
คุณอาศัยและทำงานที่ไหนในญี่ปุ่น?
เมืองฮงกุ จังหวัดวาคายามะ (Hongu, Wakayama)
คุณชอบอะไรในชนบทของญี่ปุ่น?
อากาศบริสุทธิ์, น้ำสะอาด, ลำธารใส, ขยะน้อย, ผลไม้และผักสดจากชาวสวนข้างบ้าน, พื้นที่กว้างขวางและผู้คนที่ไม่มาก เดินทางไปภูเขาและป่าได้ง่าย สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่าง การปีนเขาและฝึกปฏิบัติธรรมแบบชูเก็นโดได้ง่ายด้วย
คุณชอบใช้ชีวิตและทำงานในชนบทหรือเมืองใหญ่ของญี่ปุ่นมากกว่ากัน?
ฉันชอบใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในชนบทของญี่ปุ่นมากกว่าค่ะ เหตุผลก็ตามที่บอกเลย แถมวิวก็สวยด้วย เขียวชอุ่มดีมากๆ ไลฟ์สไตล์ก็เป็นไปอย่างช้าๆ และนุ่มนวล
คุณมีคำแนะนำอะไรสำหรับคนที่คิดจะย้ายมาอยู่ในชนบทของญี่ปุ่นบ้างไหม?
ฉันอยากให้คุณลองนึกถึงสิ่งที่คุณสามารถทำเพื่อหารายได้ เพราะในชนบทนั้นมีอัตราการจ้างงานและตัวเลือกน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการกำลังได้รับผลกระทบจาก COVID-19 นอกจากนี้ คุณควรพูดภาษาญี่ปุ่นให้เก่งพอสมควรและทำความรู้จักกับคนที่นี่ไว้บ้างก่อนจะย้ายไปอยู่จริง อย่างเช่น ลองไปเที่ยวบริเวณนั้นก่อนจะย้ายไปอยู่ สร้างคอนเนคชั่นและหาคนที่จะช่วยแนะนำคุณให้ได้เป็นเรื่องที่ดี เพราะการจะหาบ้านเช่านั้นไม่ง่ายเลยถ้าคุณไม่มีคนรู้จักเป็นคนท้องถิ่น
ให้โอกาสชนบทญี่ปุ่นกันหน่อย!
การอาศัยอยู่ในชนบทไม่ว่าจะประเทศไหนในโลกต่างก็มีข้อดีและข้อเสียด้วยกันทั้งสิ้น สุดท้ายแล้ว อำนาจในการตัดสินใจก็อยู่ที่คุณ เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้เห็นชนบทของญี่ปุ่นในมุมมองใหม่ หากคุณตัดสินใจที่จะอาศัยและทำงานในชนบทของญี่ปุ่นหลังจากที่ได้อ่านบทความนี้ เราก็หวังว่าคุณจะได้พบกับประสบการณ์ที่ดีเหมือนที่เราได้เจอนะ
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทาง Facebook!
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่
