เคยสงสัยไหมว่าการใช้ชีวิตในพื้นที่ชนบทของญี่ปุ่นเป็นอย่างไร? หากอยากรู้ก็ตามไปดูชีวิตในวันธรรมดาของที่นี่กันว่าสูสีกับชีวิตในเมืองแค่ไหน บทความนี้จะพาคุณไปพบกับเรื่องราวของครูสอนภาษาหนุ่มชาวอเมริกาที่มาอาศัยอยู่ในเมืองน้อยแถบชนบทของญี่ปุ่นค่ะ
ยินดีต้อนรับสู่ “อินากะ” (ชนบท)
ประเทศญี่ปุ่นมีอะไรที่มากกว่าแสงสีของเมืองมหานคร ถึงแม้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในพื้นที่เมือง (ซึ่ง 30% ของคนกลุ่มนี้ก็อยู่ในโตเกียว!) แต่พื้นที่เมืองเหล่านั้น แท้จริงแล้วก็เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในพื้นที่ชนบทเช่นกัน เมืองเหล่านี้จะมีประชากรประมาณ 100,000 – 200,000 คน ซึ่งค่อนข้างหนาแน่นอยู่ในเขตใจกลาง แต่อยู่ไม่ห่างจากนาข้าวและป่าเขาลำเนาไพร แต่หากมองให้ไกลออกไปอีกหน่อย ก็จะพบกับชุมชนและบรรดาหมู่บ้านเล็กๆ พื้นที่เหล่านี้มักจะมีผู้พักอาศัยอยู่ไม่เกิน 50,000 คน ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ใกล้ๆ กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน กระจายตัวไปตามเขตพื้นที่การเกษตรและหมู่ไม้…นี่คือ “ประเทศญี่ปุ่น” ในสายตาของใครหลายๆ คน
หลายๆ คนที่เดินทางมาปักหลักในประเทศญี่ปุ่นมักจะมีภาพของการใช้ชีวิตอยู่ในโตเกียวโดยไม่คิดจะมองเมืองเล็กๆ ชุมชนน้อยๆ เหล่านี้เป็นตัวเลือก ความจริงแล้ว ถึงวิถีชีวิตในเมืองเล็กๆ เหล่านี้จะต่างจากชีวิตในเมืองใหญ่ แต่ส่วนใหญ่แล้วความแตกต่างเหล่านี้ก็มักจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะการใช้ชีวิตในชนบทมีข้อได้เปรียบพิเศษๆ หลายอย่างที่หลายๆ คนอาจจะนึกไม่ถึง ในฐานะคุณครูชาวอเมริกันที่มาสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนญี่ปุ่นที่อยู่ในชนบท ผมสามารถพูดถึงข้อได้เปรียบเหล่านี้ได้มากมาย ครั้งนี้ผมจึงอยากมาเล่าให้ทุกคนได้ฟัง ผมเชื่อว่าหากฟังเรื่องราวของผมแล้ว คุณจะต้องหลงเสน่ห์ของชนบทญี่ปุ่นอย่างแน่นอน
ผมเป็นใคร?
ผมชื่อโจ ทำงานประจำเป็นครูผู้ช่วยในการสอนภาษาที่ทำงานอยู่ในเขตนอกเมืองของจังหวัดขนาดกลางๆ ในภูมิภาคคันโต ผมสอนหนังสือและเป็นผู้ช่วยให้กับครูภาษาอังกฤษที่โรงเรียนมัธยมปลายประจำจังหวัด 3 แห่ง งานของผมเป็นงานประจำและหากผมไม่ได้นั่งทำแผนการสอนอยู่ในห้องพักครู ผมก็จะไปสอนหนังสืออยู่ในห้องเรียน เป็นงานที่ค่อนข้างผ่อนคลายในเขตพื้นที่ที่ผ่อนคลายของประเทศญี่ปุ่น
ทำไมผมถึงมาอยู่ในชนบท?
ผมก็ไม่ต่างจากคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาสอนภาษาอังกฤษในประเทศญี่ปุ่น คือ ไม่มีตัวเลือกมากนักว่าจะได้ไปอยู่ที่ไหน โครงการที่ผมเข้าร่วมได้เปิดโอกาสให้ผู้สมัครเขียนจังหวัดที่ต้องการไปทำงานมา 3 จังหวัด แต่ก็มีการบอกเป็นนัยๆ (อย่างชัดเจน) ว่าตัวเลือกนี้จะเป็นรองจากการตัดสินใจของทางโครงการ และตำแหน่งว่างในเมืองก็น้อยแสนน้อยเมื่อเทียบกับอีกหลายพันตำแหน่งในเขตอื่น ส่วนตัวผมไม่ได้ระบุความต้องการอะไรไป เพราะผมยินดีที่จะไปทำงานทุกที่อยู่แล้ว
อยู่ชนบทดีอย่างไร?
ว่ากันตามตรงผมค่อนข้างมีความสุขที่ได้มาอยู่ที่นี่ ตัวผมเองโตขึ้นมาในแถบชานเมืองที่อยู่ติดกับเมืองใหญ่ในอเมริกา เลยแทบไม่เคยใช้ชีวิตแบบไม่มีผู้คนรายล้อมเท่าไรนัก ตั้งแต่นั้นมาผมถึงรักวิถีชีวิตในแถบชนบทมาตลอด และสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดก็มีดังนี้:
- อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ สิ่งที่ดีที่สุดของการใช้ชีวิตในชนบท คือ การได้ใช้ชีวิตอยู่ใกล้กับธรรมชาติ ผมอาศัยอยู่ห่างจากหาดกลางแจ้งกว้างใหญ่เพียง 5 นาทีเท่านั้น สามารถไปพักผ่อนและว่ายน้ำได้แทบตลอดทั้งปี ปั่นจักรยานไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็จะพบกับภูเขาที่มีทั้งป่าญี่ปุ่น อากาศบริสุทธิ์ และร่มเงาเย็นๆ ให้พักพิงในฤดูร้อน ทางเดินไปกลับที่ทำงานก็รายล้อมด้วยต้นไม้และบางทีก็เจอไร่ที่เต็มไปด้วยพืชผล แม้แต่เวลาที่มองจากหน้าต่างห้องทำงานไปก็เจอป่าต้นสนเรดวู้ดและไม้ซีดาร์ญี่ปุ่น ถ้าสีเขียวทำให้คุณมีความสุขล่ะก็ พื้นที่ชนบทแบบนี้ก็จะทำให้คุณมีความสุขแบบสุดๆ เลยเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เพราะชนบทไม่ได้มีแต่การทำไร่ทำนาเสมอไป ถึงแม้พื้นที่ทำการเกษตรส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตชนบท แต่ภูมิประเทศของญี่ปุ่นก็ไม่ได้เอื้อต่อการทำไร่ขนาดใหญ่เท่าไรนัก ชุมชนในแถบนี้จึงมักจะกระจายตัวเป็นกลุ่มๆ มีไร่นาเล็กๆ ที่คั่นกลางด้วยป่าไม้ กล่าวได้ว่า การอยู่ในพื้นที่ชนบทไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับการเกษตร แต่อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่า - เงียบสงบ ธรรมชาติมักมาคู่กับความสงบ และเขตชนบทก็เป็นเช่นนั้น ในฤดูร้อนเราจะได้ยินเสียงร้องของจักจั่นและแมลงอื่นๆ เป็นเพลงประกอบฉาก ในขณะที่เสียงการจราจรและรถไฟจะอยู่ห่างออกไปจนแทบไม่ได้ยิน ในฤดูมรสุมที่มีลมแรงเป็นพิเศษ เราก็จะได้ยินเสียงคำรามของทะเล และสัมผัสกับบรรยากาศที่ถูกเติมเต็มด้วยเสียงชวนผ่อนคลายและกลิ่นเกลือทะเล ส่วนในฤดูอื่นๆ เราก็จะมีเวลามากมายสำหรับการครุ่นคิด ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีเสียงรถขับผ่าน มีแค่คุณกับโลกอันแสนกว้างใหญ่ หากใครต้องการจะหลบหนีจากความแออัดของสังคมมนุษย์ในเมืองใหญ่ๆ ก็นับว่าไม่เลวเลย
- ราคาถูก เป็นที่รู้กันดีว่าประเทศญี่ปุ่นมีค่าครองชีพสูง ยิ่งในเมืองใหญ่ๆ แค่ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหารและค่าเดินทางก็แทบจะกินเงินเดือนคุณไปทั้งหมดแล้ว แต่ในชนบท อำนาจการซื้อของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ก็ถูกลงเกือบครึ่งของค่าเช่าในเมืองเพราะไม่มีคนแย่งกันเช่าเท่าไรนัก และมักจะได้ห้องที่ใหม่กว่า ดีกว่าและใหญ่กว่าด้วย นอกจากนี้ เนื่องจากอยู่ใกล้กับแหล่งผลิตอาหาร ค่ากินอยู่ก็จะน้อยลงและอาจได้ปริมาณที่มากขึ้น (แถมยังสดกว่าด้วย!) หากคุณอยากใช้เงินเดือนแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ได้ล่ะก็ พื้นที่ชนบทคือคำตอบที่ดีสำหรับคุณ!
สิ่งที่ชอบเป็นพิเศษในเมืองนี้ คืออะไร?
นอกจากคำจำกัดความแบบกว้างๆ ด้านบนแล้ว เมืองที่ผมอยู่ก็ยังมีจุดที่น่าสนใจอย่างอื่นอีก ผมเรียกมันว่าเขต “เมืองชนบท” เพราะที่นี่มีรถไฟสายหลักเข้าถึง (เช่นเดียวกับเมืองชนบทจำนวนมากในญี่ปุ่น) หมายความว่า แม้ผมจะอยู่นอกตัวเมืองแต่ก็อยู่ห่างจากเขตใจกลางจังหวัดที่มีประชากร 200,000 คนและสาธารณูปโภคต่างๆ ครบครันเพียง 30 นาทีเท่านั้น และหากคุณยอมควักกระเป๋าจ่ายค่ารถไฟด่วนพิเศษสักหน่อย เพียงนั่งรถประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีก็สามารถไปเที่ยวโตเกียวได้แล้ว พูดได้ว่าผมอาศัยอยู่ในบริเวณที่เงียบสงบแต่ไม่ได้ถูกตัดขาดจากความเจริญแต่อย่างใด และสามารถออกจากความเงียบสงบนี้ไปสู่มหานครได้อย่างสบายๆ เมื่อไรก็ได้ที่ต้องการ
ไม่เพียงการเดินทางเท่านั้น แต่บริการต่างๆ ที่ผมได้รับก็แทบไม่ต่างจากการอาศัยอยู่ในตัวเมืองเลย ไปรษณีย์จาก Amazon และเว็บอื่นๆ ก็ส่งมาถึงในวันรุ่งขึ้นเหมือนกัน, มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในราคาที่สมเหตุสมผลเหมือนกัน, ร้านรวงต่างๆ ทั้งร้านอาหารและย่านช้อปปิ้งก็มีเหมือนกันด้วย เรียกได้ว่ามีทุกอย่างครบสำหรับการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันเลย
ท้ายที่สุด ถึงแม้ว่าตัวเมืองจะเล็ก แต่ก็ไม่ได้เล็กขนาดนั้น หมายความว่าถึงแม้จะมีคนอยู่ไม่มาก แต่ก็ยังมีคนให้ได้มีปฏิสัมพันธ์ด้วยจนเกินพอ ผมอาจจะบังเอิญเจอคนรู้จักเวลาไปเดินเล่นในเมือง แต่ก็สามารถทำตัวกลมกลืนไปกับพื้นหลังได้หากต้องการ เป็นจำนวนประชากรที่สามารถใช้งานเทศกาลให้เป็นสถานที่สำหรับนัดเจอเพื่อนฝูงและทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ นอกจากนี้ ความที่คนไม่เยอะก็จะทำให้วงสังคมแคบลงและเหนียวแน่นกันมากขึ้นด้วน การได้รู้จักเพื่อนใหม่สักคนอาจพาคุณไปอยู่ในกลุ่มของเพื่อนจำนวนมากเลยก็เป็นได้
บ้านของผมหน้าตาเป็นอย่างไร?
ผมเคยเช่าอพาร์ตเมนต์มา 2 แห่งตั้งแต่มาอยู่ในชนบทญี่ปุ่น โดยอยู่ที่แรกประมาณ 3 ปี และอยู่ที่ที่สองประมาณ 1 ปีครึ่ง
อพาร์ตเมนต์แห่งแรกที่ผมเช่าเป็นตึกเก่าที่สร้างขึ้นในยุค 70 ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่เมืองนี้กำลังบูม ตัวอาคารไม่ได้ดูเก่าเท่าไรนัก พื้นทำจากไม้แข็ง ไม่มีห้องแบบญี่ปุ่นที่ปูเสื่อทาทามิและห้องก็กว้างดีทีเดียว ด้านในมีห้องทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดพอๆ กัน 3 ห้อง เป็นห้องครัว ห้องนั่งเล่นและห้องนอน มีห้องอาบน้ำฝักบัว ห้องสุขา และโซนสำหรับซักผ้าติดอยู่กับห้องครัว อีกฝั่งหนึ่งก็จะมีประตูกระจกที่เปิดออกไปเจอระเบียง สามารถออกไปยืนรับลมชมวิวทิวทัศน์ของเมืองและใช้ตากผ้าได้ ทั้งหมดนี้ในราคาเพียง 50,000 เยนต่อเดือนเท่านั้นเอง บอกเลยว่าคุ้มสุดๆ
ส่วนอพาร์ตเมนต์แห่งที่สองอายุประมาณ 20 ปี แต่มีการรีโนเวทโครงสร้างภายในตอนที่ผมเข้าไปอยู่พอดี เพียงไม่ถึงปี ผมก็มีห้องน้ำสไตล์โมเดิร์น, พื้นไม้แข็งใหม่เอี่ยม, เตาแก๊สแบบ Built-In, ระเบียงสุดกว้างขวางและเครื่องปรับอากาศ 2 เครื่องมาติดในห้องนอนและห้องนั่งเล่นอย่างละตัว แถมยังมีพื้นที่ว่างเยอะมากๆ ราว 70 ตารางเมตรแม้ตัวห้องจะจัดวางเหมือนกับที่อพาร์ตเมนต์ที่เก่า นับว่าเป็นอะไรที่หาได้ยากมากๆ ในบรรดาอพาร์ตเมนต์แบบญี่ปุ่น ค่าเช่าก็เพียง 60,000 เยนต่อเดือนเท่านั้น ทั้งราคาถูก กว้างและทันสมัย ราคานี้หากอยู่ในเมืองใหญ่ก็มักจะได้เป็นห้องเก่าๆ ที่ไม่ค่อยได้รับการดูแลเสียมากกว่า
ชีวิตประจำวันของผมเป็นอย่างไร?
ช่วงสัปดาห์ที่ทำงานผมจะต้องสลับการสอนไปมาระหว่าง 3 โรงเรียน โดยในวันจันทร์, พุธ, ศุกร์ ผมจะอยู่ที่โรงเรียนหลักซึ่งตั้งอยู่ในเมืองที่ผมอาศัยอยู่ ส่วนวันอังคารและวันพฤหัสฯ ผมก็จะต้องไปสอนที่โรงเรียนในเมืองอื่นที่ห่างออกไปเล็กน้อย ทำให้ชีวิตผมในแต่ละวันมีความแตกต่างกันเล็กน้อย
วันจันทร์, พุธ, ศุกร์
6:00 – 6:30 น. ตื่นนอน: การตื่นเวลานี้จะทำให้ผมมีเวลาราว 1 ชั่วโมงในการอาบน้ำ ทานอาหารเช้า และทำอาหารกลางวัน ผมไม่ชอบอาหารสำเร็จรูป และเนื่องจากที่นี่มีแต่ของสดใหม่ดีๆ ผมเลยทำอาหารกินเองเป็นประจำทั้ง 3 มื้อ
7:50 น. ออกไปทำงาน: โรงเรียนหลักที่ผมทำงานประจำตั้งอยู่ไม่ห่างจากอพาร์ตเมนต์มากนัก ผมจึงมักจะเดินไปทำงานบนถนนชนบทเงียบๆ โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเพื่อให้ไปถึงโรงเรียนตอน 8:10 น. และมีเวลาอีกเล็กน้อยให้นั่งเตรียมตัวสำหรับการประชุมในช่วงเช้าซึ่งจะเริ่มตอน 8:25 น.
วันอังคารและพฤหัสบดี
5:30 – 6:00 น. ตื่นนอน: ผมต้องตั้งนาฬิกาปลุกเร็วกว่าเดิมนิดหน่อยเพราะต้องเดินทางไกลขึ้น
7:00 น. ออกไปทำงาน: เพราะโรงเรียนอยู่ในเมืองที่ห่างออกไป ผมจึงต้องนั่งรถไฟราว 30 นาที เมื่อถึงปลายทางแล้วก็ไม่ต่างจากวันอื่นๆ คือ เดินอีกประมาณ 15 นาทีเพื่อไปให้ถึงที่ทำงานในเวลา 8:00 น.
หลังเลิกงาน: ผมเลิกงานตอน 16:15 น. และส่วนใหญ่ผมก็จะตรงกลับบ้านเลย มีหลายๆ ครั้งที่ผมจะแวะซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านขายของชำระหว่างทางกลับบ้านด้วย เพราะทั้ง 2 แห่งอยู่ห่างจากอพาร์ตเมนต์ผมไม่มากนัก สามารถเดินไปได้ และทุกวันจันทร์ในช่วง 18:00 น. ผมจะมีงานอาสาที่ทำกับทางศูนย์ชุมชน เป็นการจัดการสอนภาษาอังกฤษให้กับผู้สูงอายุในพื้นที่
ผมทำอะไรในเวลาว่าง?
แน่นอนว่าต้องเป็นงานอดิเรกและการเข้าสังคม! ผมมีงานอดิเรกที่สนใจหลายอย่าง ดังนั้น ไม่ว่าจะตอนไหนผมก็มักจะมีโปรเจกต์อะไรสักอย่างให้ทำอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่การปั่นจักรยาน, พิมพ์งาน 3D, เล่นบอร์ดเกม, เล่น DnD (Dungeons & Dragons), ตั้งแคมป์ ไปจนถึงยิงธนูญี่ปุ่น ในช่วงสัปดาห์ที่มีงาน ผมก็มักจะไปเยี่ยมเยียนเพื่อนๆ หากไม่นัดกินข้าวกันที่ร้านแกงกะหรี่ท้องถิ่นใกล้ๆ อพาร์ตเมนต์ของพวกเรา ก็จะไปที่ห้องของคนใดคนหนึ่ง ส่วนช่วงสุดสัปดาห์นั้นจะเป็นเวลาสำหรับออกเที่ยวไปเที่ยว เรามีทั้งทริปตั้งแคมป์ในป่า, นัดเล่นบอร์ดเกมที่คาเฟ่, ปาร์ตี้ทำอาหาร ฯลฯ ยิ่งทุกคนอยู่ใกล้สถานีรถไฟก็ยิ่งไปมาหาสู่กันได้ง่าย แทบไม่มีปัญหาเวลานัดพบกันเลย
ผมใบ้อยู่กับใครในเวลาว่าง?
โดยส่วนตัวผมจะอยู่กับเพื่อนเกือบตลอด แต่ละคนอาจจะมีวิธีการเข้าสังคมแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่หากคุณมีเพื่อนไม่เยอะอยู่แล้วก็จะมีคนแนะนำให้คุณได้รู้จักกับคนอื่นๆ เพิ่มขึ้นอยู่ดี คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาทำงานในญี่ปุ่นผ่านโครงการหรือบริษัทก็มักจะมีแวดวงสังคมประมาณหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งก็มักจะเป็นกลุ่มที่สนิทและพบเจอกันได้ง่ายที่สุด นอกจากกลุ่มนี้ก็จะขึ้นอยู่กับว่าคุณได้ออกไปทำความรู้จักกับคนในชุมชนบ่อยแค่ไหน ไปเข้าร่วมงานเทศกาล, กิจกรรม หรือไปสมัครอะไรไว้กับศูนย์ชุมชนบ้างหรือเปล่า ในช่วงปีที่ 2 ที่เข้ามาอยู่ที่นี่ผมได้ไปสอนในคลาสทำอาหารยิวท้องถิ่น และผมก็ได้รู้จักกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ผ่านกิจกรรมนี้เอง ส่วนเพื่อนกลุ่มอื่นๆ ก็เป็นเพื่อนที่ผมเจอตามร้านอาหาร, ร้านเหล้า, คลาสเรียนภาษาญี่ปุ่นในพื้นที่และที่ทำงาน
บทสรุป
การใช้ชีวิตในชนบทญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่สุดยอดมากๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ในแถบที่ราบของภูมิภาคคันโตหรือหมู่บ้านบนภูเขา การอาศัยอยู่นอกเขตเมืองจะทำให้คุณได้อยู่อย่างเงียบสงบและผ่อนคลายท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ทันสมัย เมื่อเทียบกับการอาศัยอยู่ในเมืองมหานคร ชีวิตแถบชนบทสามารถให้ได้ทุกอย่างที่คุณต้องการสำหรับชีวิตในยุคใหม่โดยมีราคาที่ถูกกว่ามาก แถมยังได้อาหารที่สดกว่า, อากาศที่สะอาดกว่า, มีเพื่อนที่สนิทมากกว่า รวมถึงมีพื้นที่สีเขียวและความสงบที่มากกว่าด้วย นี่ไม่ใช่เพียงประสบการณ์ที่คุณสามารถหาได้ทั่วไปในชีวิต แต่เป็นประสบการณ์ที่ยากจะหาอะไรมาเปรียบได้เลยทีเดียว
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊กได้เลย !
รูปภาพ: Joe Bryer
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่