คนไทยที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นไม่ได้มีเพียงนักเรียนนักศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีคนที่มาทำงานหาประสบการณ์ และคนที่มาลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวที่นี่ด้วย ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็อาจไม่ได้มีโอกาสเข้าไปเรียนภาษาญี่ปุ่นตามโปรแกรมในมหาวิทยาลัยได้ และจำเป็นต้องไปหาโรงเรียนภาษาข้างนอกแทน
ทาง tsunagu Local เห็นถึงปัญหานี้ เราเลยจะมาแนะนำวิธีเลือกโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นกันค่ะ มาดูปัจจัยต่างๆ ที่ต้องพิจารณาเพื่อให้ได้โรงเรียนสอนภาษาที่ตรงกับเป้าหมายในอนาคตของเรามากที่สุดกันเลย!
ระบบการรับนักเรียนของโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น
โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นในญี่ปุ่นมีระบบที่ต่างจากโรงเรียนสอนพิเศษในไทย ไม่ใช่แค่มีเงินแล้วเราจะสามารถเข้าเรียนได้ทันที หรือเริ่มคลาสตามเวลาที่เราสะดวกได้ แต่โรงเรียนที่นี่จะมีการเปิดรับเป็นรอบๆ โดยบางที่อาจเปิดรับแค่ปีละ 2 รอบ คือ สำหรับเรียนในเดือนเมษายนและตุลาคม ในขณะที่บางแห่งอาจะเปิดรับถึง 4 รอบ คือ ช่วงเดือนมกราคม – เมษายน – กรกฎาคม – ตุลาคม ดังนั้น หากคุณสนใจจะเข้าโรงเรียนสอนภาษา เราแนะนำว่าควรวางแผนล่วงหน้าให้ดีค่ะ
นอกจากนี้ การสมัครเข้าโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะพอสมควร ทั้งค่าสมัคร, ค่าแรกเข้า, ค่าเล่าเรียน, ค่าดำเนินการวีซ่า (สำหรับผู้ที่ไม่มีวีซ่าถาวร), ค่าหนังสือเรียน รวมถึงอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่แตกต่างกันไปตามแต่ละสถาบันด้วย โดยรวมแล้วค่าใช้จ่ายจะพุ่งไปถึงหลักแสนเยนเลยทีเดียว ดังนั้น นอกจากการวางแผนช่วงเวลาที่สมัครแล้ว เราขอแนะนำให้เตรียมเงินไว้ให้พร้อมด้วยค่ะ
รูปแบบคอร์สในโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น
โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีคอร์สเรียนอยู่ 3 รูปแบบ แต่ละแบบก็จะเหมาะกับกลุ่มคนที่แตกต่างกัน
- คอร์สเรียนเฉพาะหลักสูตร โดยส่วนใหญ่จะเป็นคอร์สเรียน 3 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่มีเป้าหมายชัดเจน ส่วนมากจะเป็นคลาสเรียนเพื่อเตรียมตัวสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น เช่น JLPT และ EJU หรือหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นเพื่อใช้ในธุรกิจ ฯลฯ
นอกจากนี้ บางโรงเรียนก็อาจมีหลักสูตรที่เน้นการพัฒนาทักษะภาษาญี่ปุ่นโดยรวมซึ่งฝึกสอนครบทุกทักษะ ฟัง – พูด – อ่าน – เขียน ด้วย สำหรับคอร์สเรียนเฉพาะหลักสูตรนี้ ผู้สมัครควรมีวีซ่ารับรองอยู่แล้วเพราะเป็นการเรียนระยะสั้น ทางโรงเรียนจึงอาจไม่สามารถช่วยในส่วนนี้ได้
* คอร์สเรียนเฉพาะนี้ ส่วนใหญ่มักมีทั้งแบบเรียนกลุ่มและเดี่ยว มีการระบุราคาตามจำนวนชั่วโมง หากเรียนเป็นกลุ่มที่มีชั่วโมงเรียนน้อยก็จะมีราคาถูกลง แต่ในขณะเดียวกัน ผู้เรียนก็จะต้องมีวินัยมากๆ อ่านหนังสือเตรียมตัวก่อนเรียนทุกครั้งและใช้เวลาในชั่วโมงเรียนสำหรับถามในจุดที่ไม่เข้าใจจากครู
2. คอร์สเรียนระยะสั้น ส่วนมากเป็นคอร์สเรียน 6 เดือน ค่อนข้างเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนไปพร้อมๆ กับทำงานพิเศษ เตรียมตัวเข้าสถาบันการศึกษา (ที่เลือกไว้เองแล้ว) หรือทำงานไปด้วย เพราะจะมีเวลาในการฝึกภาษามากกว่า
นอกจากนี้ หลายๆ โรงเรียนยังมีการสอนวัฒนธรรมญี่ปุ่น, ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครเรียน – สมัครงาน, การจัดกิจกรรมต่างๆ ให้เราได้เข้าไปร่วมสนุกด้วย สำหรับคอร์สนี้บางโรงเรียนอาจช่วยในการขอวีซ่าให้ได้ แต่ก็ควรสอบถามให้แน่ใจก่อนสมัครค่ะ
3. คอร์สเรียนระยะยาว ส่วนมากจะเป็นคอร์สเรียน 1 ปีขึ้นไป หากคำนวณแล้วค่าใช้จ่ายจะถือว่าถูกกว่าเรียนคอร์สระยะสั้นต่อกันหลายๆ คอร์ส เหมาะสำหรับผู้ที่มีแพลนจะเข้าเรียนในสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยเฉพาะทาง หรือมีแพลนจะหางานในประเทศญี่ปุ่นแต่ยังไม่ได้มีตัวเลือกในใจ
หากมาเรียนคอร์สระยะยาวก็จะมีเวลาฝึกภาษา, ทำงานพิเศษ, หาข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันหรือบริษัทที่อยากเข้าทำงานมากขึ้น (บางโรงเรียนอาจมีการพาไปดูมหาวิทยาลัยและช่วยเตรียมสอบสัมภาษณ์หรือวางแผนทำงานวิจัยด้วย) คอร์สระยะยาวนี้ โรงเรียนส่วนใหญ่จะสามารถช่วยออกวีซ่าให้ได้ แต่เพื่อความแน่ใจก็ควรสอบถามทางโรงเรียนให้แน่ใจก่อนค่ะ
สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกโรงเรียน
สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่าต้องดูอะไรบ้างเวลาเลือกโรงเรียนสอนภาษาที่ญี่ปุ่น เราก็มีคำแนะนำง่ายๆ มาแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นค่ะ
1. เนื้อหาของหลักสูตร
สิ่งแรกที่ควรพิจารณา คือ หลักสูตรที่โรงเรียนมีสอนนั้นตรงกับเป้าหมายในอนาคตของเราหรือไม่ คำแนะนำจากเรา คือ คนที่อยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยและเรียนต่อ ควรหาโรงเรียนที่สอนครบทุกทักษะ ทั้งฟัง – พูด – อ่าน – เขียน แบบที่เน้นการใช้งานด้านการศึกษา (Academic) หลักสูตรสำหรับการเรียนต่อนี้จะเน้นฝึกให้เราแสดงความคิดเห็นเชิงคิดวิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นของตัวเองซึ่งอาจจะต่างจากภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป
นอกจากนี้ โรงเรียนสอนภาษาหลายๆ แห่ง รวมถึงมหาวิทยาลัยก็อาจจะมีคอร์สสอนเฉพาะเรื่องด้วย เช่น วัฒนธรรมและวรรณกรรมญี่ปุ่น หรือ วิชาที่เกี่ยวกับ Pop Culture
ส่วนผู้ที่อยากเรียนภาษาญี่ปุ่นเพื่อสมัครงาน เราแนะนำให้ถามโรงเรียนว่ามีการสอนการเขียนเรซูเม่ (履歴書 อ่านว่า Rirekisho) และ การใช้ภาษาสุภาพ (敬語 อ่านว่า Keigo) ที่ใช้ในการพูดและการเขียนเชิงธุรกิจ กับคอร์สที่สอนการพูดและมารยาทในการสัมภาษณ์งานด้วยหรือไม่ เพราะทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการหางานในญี่ปุ่นค่ะ
สำหรับการเรียนเพื่อสมัครงานนี้จะเน้นการ PR ตัวเองเป็นหลัก อย่างในการเขียนเรซูเม่ก็จะต้องแสดงทักษะในการบอกเล่าประสบการณ์ ความคิด และการแก้ปัญหาของเราอย่างเป็นกระบวนการ นอกจากนี้ การสื่อสารในเชิงธุรกิจก็จะต่างจากแบบ Academic (ที่เน้นการ Defend ความคิดตัวเอง) การแสดงความคิดเห็นในเชิงธุรกิจจะต้องมีความประนีประนอมและรักษาน้ำใจกันสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นทีมเวิร์คที่ดีนั่นเอง ดังนั้น ทุกคนก็ลองหาโรงเรียนที่มีหลักสูตรตรงกับเป้าหมายในอนาคตดูนะคะ
* โรงเรียนสอนภาษาบางแห่งอาจมีการซัพพอร์ตการหางานให้นักเรียนด้วย เป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องระบบการสมัครงานในประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ บางโรงเรียนก็อาจมีคอนเนคชันกับบริษัทต่างๆ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้รู้จักบริษัทที่เปิดรับสมัครงานมากขึ้น
2. หนังสือเรียน
หนังสือเรียน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรให้ความสำคัญ หลายๆ คนอาจเคยไม่ทราบมาก่อนว่าเราสามารถสอบถามและขอดูตำราเรียนของสถาบันและโรงเรียนสอนภาษาในญี่ปุ่นได้ เพื่อจะได้รู้ว่าเราเหมาะกับการเรียนในรูปแบบนั้นไหม บางสถาบันอาจใช้หนังสือที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป ในขณะที่บางสถาบันจะมีการทำตำราเรียนของตัวเองโดยเฉพาะ ซึ่งอาจดีกว่าหนังสือเรียนที่สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดค่ะ
หนังสือเรียนบางเล่มมีคำอธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน หากไม่คล่องภาษาญี่ปุ่นก็อาจต้องใช้เวลาไปกับการฝึกฝนเรียนรู้มากขึ้น ในขณะที่บางเล่มมีคำแปลและคำอธิบายภาษาอังกฤษหรือภาพประกอบร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ดังนั้น ควรเลือกให้ตรงกับความถนัดและเวลาของตัวเองด้วยค่ะ
ขั้นตอนการสมัครโรงเรียนภาษาญี่ปุ่น
ขั้นตอนการสมัครแบบคร่าวๆ ของโรงเรียนส่วนใหญ่จะมีดังนี้ :
- ส่งอีเมลหรือโทรติดต่อไปยังสถาบัน
- สอบถามหรือปรึกษาเรื่องคอร์สเรียนที่สนใจและค่าใช้จ่าย (หากใครอยากชมโรงเรียนก่อนตัดสินใจก็สามารถขอนัดวันเวลากับเจ้าหน้าที่เพื่อให้พาชมรอบโรงเรียนได้)
- บางโรงเรียนอาจนัดสัมภาษณ์ก่อนตัดสินใจว่าจะรับเราเป็นนักเรียนไหม (ส่วนใหญ่จะถามเกี่ยวกับประวัติการศึกษา, เหตุผลที่อยากเข้าเรียน, แพลนในอนาคต, ระดับความสามารถภาษาญี่ปุ่น, สถานะวีซ่า รวมถึงแหล่งรายได้เพื่อดูว่าเรามีซัพพอร์ตทางการเงินที่พร้อมสำหรับเรียนหรือไม่)
- สมัครและจ่ายค่าเล่าเรียน
- บางโรงเรียนอาจมีการสอบวัดระดับก่อนเริ่มเรียน เพื่อให้เราเข้าคลาสที่ตรงกับระดับของเรามากที่สุด
เคล็ดลับการเลือกโรงเรียน สำหรับคนที่มีงบจำกัด
อย่างที่ได้กล่าวไว้ว่าค่าใช้จ่ายในการเข้าโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นอาจสูงถึงหลักแสนเยน เราจึงมีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้คุณได้บ้างมาแนะนำกันค่ะ
- เลือกโรงเรียนที่อยู่นอกตัวเมืองแต่ใกล้บ้าน : จากการสำรวจของเรา พบว่าโรงเรียนที่อยู่นอกตัวเมืองมักจะมีราคาถูกกว่าโรงเรียนที่อยู่ในตัวเมืองหรือย่านใหญ่ๆ ค่ะ ยิ่งหากคุณอาศัยอยู่ในย่านที่อยู่นอกตัวเมืองและไม่ไกลจากโรงเรียนภาษาด้วย ก็จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น
- ซื้อหนังสือเรียนเอง : หากทางสถาบันใช้หนังสือที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายหนังสือทั่วไปและไม่บังคับให้เราต้องซื้อกับทางสถาบัน คุณอาจลองไปหาซื้อจากร้านหนังสือ, ร้านค้าออนไลน์ (ที่อาจมีส่วนลดหรือแต้มสะสม), หรือร้านมือสองได้ เราเองก็เคยซื้อหนังสือเรียนจากร้านหนังสือมือสองมาในราคาเล่มละ 500 เยน ในขณะที่หากไปซื้อเองจะสูงกว่า 1,500 เยน รวมๆ แล้วถือว่าประหยัดไปได้มากเลยทีเดียวค่ะ
ส่งท้าย
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับบทความคู่มือเลือกโรงเรียนสอนภาษาในประเทศญี่ปุ่น เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้ทราบข้อพิจารณาสำหรับการเลือกโรงเรียนสอนภาษา เพื่อให้มีประโยชน์ต่ออนาคตมากที่สุดและประหยัดที่สุดได้ เช่น การเลือกคอร์สเรียนให้ตรงกับจุดประสงค์, เลือกหนังสือเรียนที่เหมาะกับตัวเอง, เลือกโรงเรียนที่อยู่นอกตัวเมือง, หาซื้อตำราเรียนเอง หรือไม่ก็เลือกโรงเรียนที่มีระบบทยอยจ่ายค่าเล่าเรียนเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระได้
ใครมีเป้าหมายอยากฝึกภาษาเพื่อใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นในระยะยาว ก็อย่าลืมให้คู่มือของเราเป็นตัวช่วยของคุณดูนะคะ 🙂
ส่วนใครที่นึกไม่ออกว่าหลักสูตรในโรงเรียนภาษาในญี่ปุ่นเป็นอย่างไร? หากไปโรงเรียนนอกเมืองจะลำบากไหม? ค่าใช้จ่ายจริงจะราคาประมาณเท่าไร? ก็สามารถหาคำตอบได้ในบทความ พาชม 5 โรงเรียนภาษาญี่ปุ่นน่าสนใจในโตเกียว ค่ะ
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊กได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่