คัมภีร์เลือกซิมการ์ดแบบเจาะลึกสำหรับชาวต่างชาติในญี่ปุ่น

tsunagu Local-Japanese-Sim-Card
Oyraa

เมื่อจะเริ่มใช้ชีวิตในญี่ปุ่น สิ่งหนึ่งที่หลายคนอยากจะเตรียมให้พร้อมเป็นอันดับต้นๆ ก็คงไม่พ้นโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟน ในบทความนี้เราจะมาแนะนำซิมโทรศัพท์มือถือที่ใช้ง่ายและราคาถูกให้ได้รู้จักกันแบบละเอียดๆ ไปเลย!

ต้องทำอะไรบ้างถึงจะใช้โทรศัพท์มือถือในญี่ปุ่นได้?

การรับบริการโทรศัพท์มือถือจะทำได้ทั้งหมด 3 วิธี ดังต่อไปนี้

1. ทำสัญญากับค่ายโทรศัพท์มือถือ (แคริเออร์) ขนาดใหญ่

ในประเทศญี่ปุ่น โดยทั่วไปแล้วบริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือจะขายเป็นเซ็ตพร้อมกับตัวเครื่อง โดยบริษัทที่ให้บริการเครือข่ายจะเรียกว่าแคริเออร์ (Carrier) เจ้าใหญ่ๆ ในญี่ปุ่นก็จะมี NTT Docomo, au, และ Softbank หากซื้อโทรศัพท์โดยการทำสัญญา ส่วนมากตัวเครื่องจะถูกล็อคไว้ให้ใช้ได้กับซิมของบริษัทนั้นๆ เท่านั้น (เรียกว่า SIM Lock)

ข้อดี

– เนื่องจากบริษัทมีเครือข่ายเป็นของตัวเอง จึงมั่นใจได้เรื่องประสิทธิภาพในการโทร, ความเสถียรของการโอนถ่ายข้อมูลและความเร็วอินเทอร์เน็ต
– มีหน้าร้านเปิดทั่วประเทศ สามารถติดต่อสอบถามได้ทุกเมื่อ
– มีบริการซ่อมหากโทรศัพท์มือถือมีปัญหา

ข้อเสีย

– ค่าบริการรายเดือนค่อนข้างสูง
– โดยทั่วไปจะต้องทำสัญญาเป็นระยะเวลา 2 ปี และมีการต่อสัญญาโดยอัตโนมัติ หากยกเลิกนอกช่วงเปลี่ยนสัญญาอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

2. ซื้อซิมการ์ดราคาถูก

ซิมการ์ดในรูปแบบนี้มักจัดจำหน่ายโดย Mobile Virtual Network Operator (MVNO) ซึ่งจะเช่าโครงสร้างพื้นฐานสำหรับกระจายเครือข่ายจากบริษัทอื่นๆ ในการให้บริการโทรศัพท์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เมื่อทางบริษัทไม่ต้องใช้ทุนในการจัดซื้อและปรับปรุงอุปกรณ์จึงสามารถให้บริการได้ในราคาถูก ตัวบริการก็แบ่งเป็นหลายรูปแบบสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย สามารถเลือกซื้อกันได้ตามใจชอบ

ข้อดี

– ค่าบริการรายเดือนต่ำ
– สัญญาไม่เข้มงวดนัก ถ้าเลยระยะขั้นต่ำของสัญญาแล้วก็สามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อ
– มีแพ็กเกจหลากหลาย สามารถเลือกใช้หรือไม่ใช้บริการโทรศัพท์, SMS และอินเทอร์เน็ตได้ตามการใช้งาน
– มีบริการแยกสำหรับซิมราคาถูกแต่ละเจ้า

ข้อเสีย

– ประสิทธิภาพการโทรและความเร็วของเครือข่ายด้อยกว่าเมื่อเทียบกับแคริเออร์
– ค่าโทรศัพท์ค่อนข้างแพง
– ทั่วไปแล้วมักไม่มีหน้าร้าน จึงเข้ารับบริการที่ร้านไม่ได้

3. ซื้อสมาร์ทโฟนราคาถูก

หากซื้อสัญญาแบบที่มีทั้งสมาร์ทโฟนแบบไม่ล็อคซิมคู่กับซิมการ์ดราคาถูก ก็สามารถใช้งานได้ไม่ต่างจากการซื้อโทรศัพท์จากแคริเออร์ใหญ่ๆ

ข้อดี

– ตัวเครื่องโทรศัพท์ราคาถูก
– อัตราค่าบริการรายเดือนต่ำและมีแพ็กเกจหลากหลายรูปแบบให้เลือก

ข้อเสีย

– การเชื่อมต่ออาจจะช้าหรือไม่เสถียรในช่วงที่มีผู้ใช้เยอะ
– อาจไม่สามารถใช้งานฟังก์ชั่นบางส่วนของบางแอปพลิเคชันได้ เช่น การยืนยันอายุหรือการค้นหา ID ใน LINE

การได้มาซึ่งบริการโทรศัพท์แต่ละวิธีการก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไปดังที่เขียนไว้ข้างต้น ในกรณีที่อยู่ญี่ปุ่นไม่ถึง 2 ปีหรืออยากใช้โทรศัพท์เครื่องที่มีอยู่แล้ว การซื้อซิมการ์ดราคาถูกก็มักจะสะดวกกว่า ดังนั้นก็ไปรู้จักซิมการ์ดเหล่านี้กันเลย!

* สมาร์ทโฟนที่ซื้อในต่างประเทศบางแห่งอาจไม่สามารถใช้ได้ สามารถดูรายละเอียดได้ในหัวข้อถัดไป

โทรศัพท์ที่มีอยู่จะใช้ในญี่ปุ่นได้ไหม?

ทั่วไปหากเลือกซื้อซิมราคาถูกก็จะสามารถใช้โทรศัพท์ที่ตัวเองมีอยู่แล้วได้ แต่ในบางครั้งสมาร์ทโฟนที่ซื้อจากต่างประเทศก็อาจจะใช้ในประเทศญี่ปุ่นไม่ได้ หากต้องการจะนำมาใช้จึงควรตรวจสอบเสียก่อน โดยสามารถสังเกตได้จากสัญลักษณ์ Giteki (技適マーク) ดังรูปด้านล่าง

ตามกฎหมายว่าด้วยการปฎิรูปการให้บริการเครือข่ายที่บังคับใช้ในปี 2016 แม้จะเป็นสมาร์ทโฟนต่างประเทศที่ไม่มีสัญลักษณ์ Giteki หากมีการรับรองในรูปแบบอื่นๆ เช่น ใบรับรอง FCC หรือ สัญลักษณ์ CE ก็จะสามารถใช้งานกับซิมญี่ปุ่นได้เช่นกัน แต่จะมีข้อจำกัดอยู่ว่าจะสามารถใช้เครือข่ายไร้สายอย่าง WiFi หรือ Bluetooth ได้มากที่สุดเพียง 90 วันเท่านั้น

หากจะนำโทรศัพท์เครื่องที่มีอยู่มาใช้กับซิมญี่ปุ่น เราแนะนำให้ตรวจสอบรายชื่อโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานได้กับตัวแทนจำหน่ายซิมโทรศัพท์ ขนาดของซิมการ์ด และตรวจสอบว่าสมาร์ทโฟนมีการล็อคซิมไว้หรือไม่เสียก่อนจะดีที่สุด

技適マーク

ซิมการ์ดราคาถูกมีแบบไหนบ้าง?

ซิมการ์ดราคาถูกจะแบ่งตามแพ็กเกจออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้ดังนี้:

1. ซิมอินเทอร์เน็ต

ซิมสำหรับใช้งานอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถใช้ SMS หรือโทรเข้า- ออกได้ แต่ก็สามารถใช้อีเมล เว็บบราวเซอร์ และแอปพลิเคชันต่างๆ ได้อย่างอิสระ จะใช้ Skype, LINE, หรือ 050 Plus เพื่อโทรฟรีผ่านอินเทอร์เน็ตแทนก็ได้เช่นกัน

2. ซิมการ์ดแบบมี SMS

ซิมการ์ดที่สามารถส่ง SMS และเล่นอินเทอร์เน็ตได้ เนื่องจากการส่ง SMS จะต้องมีเบอร์โทรศัพท์ จึงแปลว่าจะสามารถใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ต้องยืนยันตัวตนผ่าน SMS เช่น LINE ได้ด้วย โดยราคาจะสูงกว่าซิมอินเทอร์เน็ตเล็กน้อย

3. ซิมการ์ดแบบโทรเข้า – ออกได้

สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ต, SMS, และโทรเข้า – ออกได้เช่นเดียวกับซิมของบริษัทเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้บริการ MNP (Number Portability)* เพื่อใช้เบอร์โทรศัพท์เดิมได้อีกด้วย หากใครไม่อยากเปลี่ยนเบอร์ก็ต้องซิมนี้เลย

* คล้ายๆ กับการย้ายค่ายเบอร์เดิมของบ้านเรา

ซื้อของค่ายไหนดี? มีซิมการ์ดที่แนะนำไหม?

ต่อไป เราจะมาแนะนำซิมการ์ดที่เหมาะสำหรับชาวต่างชาติกัน

・IIJmio

บริการซิมการ์ดและสมาร์ทโฟนจาก Internet Initiative ผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเจ้าแรกของประเทศญี่ปุ่น ใช้งานได้เกือบทุกพื้นที่ในญี่ปุ่น จัดเป็นบริการที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของตลาดซิมการ์ดราคาถูก จุดเด่นของผู้ให้บริการรายนี้อยู่ที่ราคาอันแสนถูกและความเสถียรของสัญญาณ เป็นบริการคุณภาพสูงจนครองใจลูกค้าได้เป็นอันดับ 1 เลยทีเดียว หน้าเว็บไซต์ออฟฟิเชียลก็มีภาษาอังกฤษด้วย

ตัวอย่างแพ็กเกจ

– ค่าแรกเข้า 3,000 เยน
– ซิมอินเทอร์เน็ต (Type D*) Minimum Start Plan (3GB): 900 เยน
– ซิมอินเทอร์เน็ตและ SMS (Type D*) Light Start Plan (6GB): 1,660 เยน
– ซิมอินเทอร์เน็ต, SMS, โทรเข้า – ออก (Type D*) Family Share Plan (12GB): 3,260 เยน

* ใช้เสาสัญญาณของ NTT Docomo หากต้องการใช้ของ au ให้เลือกเป็น Type A โดยซิมอินเทอร์เน็ตอย่างเดียวจะมีเฉพาะ Type D เท่านั้น

** ราคาข้างต้นเป็นราคาที่ยังไม่รวมภาษี
Official Website

・LINE Mobile (MVNO)

LINE Mobile เป็นผู้ให้บริการแบบ Multi-Carrier ที่ไม่มีเสาสัญญาณเป็นของตัวเอง (MVNO) ข้อดีอย่างหนึ่งของการทำสัญญากับค่ายนี้ คือ เมื่อคุณใช้บริการโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันอื่นๆ ของทางค่าย เช่น LINE อินเทอร์เน็ตที่ใช้ในส่วนนี้จะไม่ถูกนำมาคิดในค่าใช้จ่ายรายเดือน!
นอกจากนี้ ทางค่ายยังมีตารางค่าบริการที่บอกค่าใช้จ่ายเป็นตัวเลขเป๊ะๆ ให้อ่านเข้าใจกันได้ง่ายๆ ด้วย แต่ละแพ็กเกจก็จะมีราคาแตกต่างกันไปตามประเภทของซิมการ์ดและปริมาณอินเทอร์เน็ตที่คุณต้องการใช้ ยังไม่พอ LINE Mobile ยังเป็นผู้ให้บริการแบบ MVNO เจ้าเดียวที่เปิดโอกาสให้คุณใช้งานฟังก์ชันในแอปพลิเคชันไลน์ได้อย่างครบวงจรอีกด้วยเช่นกัน เราจึงขอแนะนำซิมการ์ดของค่ายนี้สำหรับคนที่ชอบส่งข้อความและใช้งานแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียต่างๆ

ตัวอย่างแพ็กเกจ

– ค่าแรกเข้า 3,400 เยน
– อินเทอร์เน็ตฟรีสำหรับใช้ LINE (Basic Plan ซิมอินเทอร์เน็ต 500MB): เริ่มต้นที่ 600 เยน
– อินเทอร์เน็ตฟรีสำหรับเล่นโซเชียลมีเดีย LINE, Twitter, Facebook (3GB ซิมโทรเข้า – ออก): เริ่มต้นที่ 1,760 เยน
– อินเทอร์เน็ตและฟังเพลงฟรีบน LINE, Twitter, Facebook, Instagram, LINE MUSIC (3GB ซิมโทรเข้า – ออก): เริ่มต้นที่ 1,960 เยน

* ราคาข้างต้นเป็นราคาที่ยังไม่รวมภาษี
Official Website

・Sakura Mobile (MVNO)

อีกหนึ่งผู้ให้บริการแบบ MVNO ค่ายนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ค่ายที่ตั้งใจเจาะกลุ่มผู้ใช้บริการชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นโดยเฉพาะ สามารถสมัครโดยใช้บัตรเครดิตที่ไม่ใช่ของญี่ปุ่นหรือจะใช้บัตรเดบิตก็ได้เช่นกัน และไม่จำเป็นต้องมีบัญชีในธนาคารญี่ปุ่นอีกด้วย
แพ็กเกจซิมการ์ดที่ให้บริการก็ไม่มีระยะเวลาขั้นต่ำในการเซ็นสัญญาทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ สำหรับบรรดานักเรียนแลกเปลี่ยนหรือคนที่มาอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นแบบไม่มีกำหนดเวลาที่ชัดเจน นอกจากนี้ ฝ่ายให้บริการลูกค้าและเว็บไซต์ของทางค่ายก็ทำเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ด้วย!
แต่ในอีกแง่หนึ่ง บริการแสนสะดวกสบายนี้ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น เพราะค่ายนี้มีการเก็บค่าบริการที่แพงกว่าค่ายโทรศัพท์แบบ MVNO ทั่วไปพอสมควร

– ค่าแรกเข้า 5,000 เยน
– ซิมอินเทอร์เน็ต (3GB): 1,980 เยน
– ซิมอินเทอร์เน็ต, โทรเข้า – ออก (3GB): 2,980 เยน

* ราคาข้างต้นเป็นราคาที่ยังไม่รวมภาษี
Official Website

ซื้อซิมการ์ดได้ที่ไหน?

正和/Wikimedia Commons

ว่ากันว่าในญี่ปุ่นมีผู้ให้บริการซิมการ์ดราคาถูกถึงกว่า 600 เจ้าด้วยกัน แต่กว่าครึ่งจะไม่มีหน้าร้าน จึงจำเป็นต้องดำเนินการผ่านทางเว็บไซต์ของทางบริษัทและรับซิมการ์ดผ่านทางไปรษณีย์แทน

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันซิมการ์ดเหล่านี้ได้รับความนิยมมากขึ้น จึงเริ่มสามารถหาซื้อตามห้างที่ขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหญ่ๆ อย่าง Yodobashi Camera หรือ Big Camera ได้แล้วเช่นกัน ห้างเหล่านี้ส่วนมากก็มีการให้บริการเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาจีนได้ด้วย หากมีความจำเป็นต้องรีบใช้หรือยังสื่อสารภาษาญี่ปุ่นไม่คล่องก็สามารถไปใช้บริการได้

เมื่อต้องการทำสัญญา อย่าลืมว่าจะต้องเตรียม ไซริวการ์ด (在留カード) ที่ระบุที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นและยังไม่หมดอายุ, เอกสารยืนยันตัวตนที่เป็นทางการ (本人確認書類)*, บัตรเครดิตที่เป็นชื่อของผู้ทำสัญญา และ อีเมลที่สามารถติดต่อได้ไปด้วย

* ในกรณีที่ที่อยู่ในเอกสารยืนยันตัวตนไม่ตรงกับที่อยู่ปัจจุบัน ต้องยื่นทะเบียนบ้าน (住民票) หรือใบเสร็จค่าสาธารณูปโภค (公共料金領収書) ที่ออกภายในระยะ 3 เดือนก่อนวันทำสัญญาประกอบด้วย

ประโยคที่ใช้บ่อยเมื่อจะซื้อซิมการ์ด

– SIMカードの売り場はどこですか?( Shimu ka-do no uriba wa doko desuka?)
――― ที่ขายซิมการ์ดอยู่ที่ไหนคะ/ครับ?
– プリペイドのSIMカードをください (Puripeido no simu ka-do wo kudasai)
――― ขอซื้อซิมการ์ดแบบจ่ายล่วงหน้าหน่อยค่ะ/ครับ
– 通話とデータを使いたいです (Tsuuwa to de-ta wo tsukaitaidesu)
――― อยากใช้ทั้งอินเทอร์เน็ตและโทรเข้า – ออกค่ะ/ครับ

ถ้าใช้ซิมการ์ดราคาถูกจะใช้ LINE ได้ไหม?

karanik yimpat / Shutterstock.com

ในปัจจุบัน SNS หรือโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง Twitter และ Facebook ได้รับความนิยมมาก แอปพลิเคชัน WhatsApp, Facebook Messenger, Wechat, และ LINE ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับการส่งข้อความ โทรฟรีผ่านอินเทอร์เน็ต และยังสามารถส่งข้อความเสียง รูปภาพ หรือวิดีโอได้ รวมไปถึงโทรศัพท์หรือโทรวิดีโอแบบกลุ่มได้ด้วย สิ่งหนึ่งที่หลายคนมักจะสงสัยก็คือ “ถ้าเปลี่ยนซิมแล้วข้อมูลเดิมจะยังอยู่หรือเปล่า?” นั่นเอง

ข้อมูลที่อยู่ในสมาร์ทโฟนจะจัดเก็บอยู่ในตัวเครื่อง หรือไม่ก็ใน SD Card แม้ว่าจะเปลี่ยนซิมการ์ดก็ไม่มีปัญหาว่าภาพถ่ายหรือเพลงในเครื่องจะหายไปอย่างแน่นอน แต่หากเปลี่ยนตัวเครื่องโทรศัพท์ด้วยก็จำเป็นจะต้องทำการย้ายข้อมูลหากต้องการเก็บข้อมูลเดิมไว้ โดยการถ่ายโอนข้อมูลนี้จะมีวิธีการที่แตกต่างกันไปตามรุ่นและยี่ห้อของโทรศัพท์ โดยทั่วไปจะเป็นการย้ายโดยใช้คอมพิวเตอร์, Google Account หรือ iCloud เป็นสื่อกลาง

นอกจากนี้ ซิมการ์ดราคาถูกยังสามารถใช้งานแอปพลิเคชันส่งข้อความได้ด้วย โดย ณ ที่นี้เราจะยกแอปพลิเคชันยอดนิยมอย่าง LINE เป็นตัวอย่าง

ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น หากเปลี่ยนซิมการ์ดเพียงอย่างเดียวก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพิ่มเติม แต่หากเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์ด้วย ก่อนจะย้ายเครื่องก็ให้ตั้งค่าเบอร์โทรศัพท์ อีเมลและพาสเวิร์ดในเมนูตั้งค่าให้เรียบร้อยเสียก่อน และกดให้ตัวเลือก “ย้ายแอคเคาท์” ในเมนูย้ายแอคเคาท์เป็น ON ไว้ด้วย โดยขอให้ระวังไว้ว่าหากเปิดตัวเลือกนี้แล้วจะต้องทำการย้ายแอคเคาท์ให้เสร็จสิ้นภายใน 36 ชั่วโมง และจะสามารถย้ายมาได้แค่ข้อมูลแอคเคาท์ต่างๆ อย่างกลุ่มหรือรายชื่อเพื่อนเท่านั้น ไม่รวมประวัติการสนทนา หากต้องการจะเก็บประวัติการสนทนาไว้ด้วยก็ต้องทำการแบ็คอัพผ่าน iCloud หรือ Google Drive เพิ่มเติม (ทำได้ในกรณีที่ย้ายข้อมูลระหว่างสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกันเท่านั้น)

ทาง LINE จะให้ผู้ใช้ยืนยันอายุเพื่อคุ้มครองผู้ใช้ที่อายุยังไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์ หากใช้ซิมการ์ดราคาถูก ฟังก์ชั่นบางส่วนเช่นการค้นหาเพื่อนผ่าน ID หรือเบอร์โทรศัพท์จะไม่สามารถใช้ได้ แต่ก็สามารถเพิ่มเพื่อนผ่าน QR Code ได้ปกติ โดยทั่วไปจึงไม่น่าจะเป็นปัญหามากนัก

จบไปแล้วกับการแนะนำวิธีการใช้สมาร์ทโฟนและซิมการ์ดราคาย่อมเยาในประเทศญี่ปุ่น เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่กำลังจะเริ่มต้นการใช้ชีวิตในญี่ปุ่นได้ไม่มากก็น้อย กำหนดจุดประสงค์ให้ชัดเจนแล้วออกไปเลือกซื้อซิมการ์ดกันเลย!

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

Oyraa
0 Shares: